ลวงราคะลิขิตสวาท

53.0K · จบแล้ว
ฝ้ายสีคราม/ ภ.ภิญญ์/ฝออ้าย
30
บท
5.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

เมื่อสามีถูกพรากชีวิต เหมือนชะตาเล่นตลกกับหญิงหม้าย ชีวิตนางมีบุรุษเวียนเข้ามาไม่ซ้ำหน้า แต่ละคนมุ่งหมายเพียงร่างกายของนาง หลังจากผิดหวังกับความรักซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงบังเกิดความแค้น ในเมื่อร่างกายนางเป็นที่ปรารถนา นางก็จะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ เอาคืนเหล่าบุรุษที่มักมาก

นิยายรักโรแมนติกนิยายจีนโบราณนอกใจความจำเสื่อมนิยายย้อนยุคคนธรรมดาคนในใจรักสามเศร้ายกโทษ/โอกาสอีกครั้ง

ตอนที่ 1 ชายแปลกหน้า

เสียงสายลมพัดหวิวผ่านลำไผ่ที่ขึ้นเรียงรายแน่นทึบ ลมเยียบเย็นซึมลึกเข้ากระดูก ผืนฟ้าเหนือหุบเขาหม่นมัวด้วยม่านหมอกจาง

ลานกว้างหลังทิวไผ่นั้น ร่างหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งแน่นิ่งอยู่หน้าเนินดินที่เพิ่งถมใหม่ ข้างกายมีพลั่วไม้เก่าแก่เลอะดินเปรอะโคลน ใบหน้างามที่ซีดเผือดเปื้อนหยาดน้ำตา ดวงตาดำสนิทบ่งบอกถึงความเศร้าที่ไม่สิ้นสุด

“ท่านพี่ ท่านจากข้าไปแล้วจริงๆ หรือ”

นางกระซิบเสียงเบากับป้ายวิญญาณ ดั่งกลัวลมจะพัดพาคำพูดของนางให้จางหาย น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงซอกแก้ม ร่วงหยดลงบนผืนดินตรงหน้า

ทว่าร่างใต้ดินนั้นไม่อาจเอื้อมมือขึ้นมาปลอบโยน หรือแม้แต่ตอบกลับด้วยเสียงที่เคยอบอุ่นนัก

ซูเหมยหลันวัยยี่สิบสี่ นางกับสามีนามว่าเซี่ยนหรง หนีความวุ่นวายในเมืองหลวงมาปลูกเรือนไม้กลางหุบเขาไร้ชื่อ ใช้ชีวิตเรียบง่าย ปลูกผักหาของป่า ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและสมถะ

แต่ความสงบสุขไม่เคยคงอยู่เนิ่นนาน แค่ฤดูฝนเดียวก็พัดพาเขาไปจากนางตลอดกาล

โรคร้ายจากยุงป่าคร่าลมหายใจเขาไปในครึ่งเดือน แม้นางจะต้มยาสมุนไพร เทียวเข้าออกป่าหาหญ้ารากไม้มามากเท่าใด ก็ไม่อาจรั้งมือยมทูตได้

สุดท้าย นางฝังเขาด้วยมือตนเอง ณ ที่ตรงนี้หลุมศพไร้ป้ายใต้ต้นหลิวใหญ่ เป็นจุดเดียวกับที่พวกเขานั่งมองพระจันทร์ด้วยกันในคืนแรกที่ย้ายเข้ามา

ซูเหมยหลันเอื้อมมือแตะผิวดินอย่างอ้อยอิ่ง ปลายนิ้วสั่นเทา

“ข้าจะอยู่ที่นี่กับท่าน ไม่ว่ากี่ปี... ข้าจะไม่ไปไหน” นางพึมพำราวกับสาบานกับผู้ตาย แต่ลึกในดวงใจรู้ดีว่าไม่มีผู้ใดหวนคืนได้ ไม่มีเสียงตอบรับจากใต้ดิน มีเพียงความเงียบกับลมหนาวที่โอบรัดรอบกาย

เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนดวงตะวันเริ่มคล้อยลับยอดไม้ แต่หญิงสาวยังนั่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้น้ำตาหยดจนเสื้อผ้าเปียกชื้น

จนกระทั่งเสียงฝีเท้าแผ่วเบาใกล้เข้ามาท่ามกลางเงาไม้สลัว สะท้อนผ่านม่านหมอกบางที่ลอยเอื่อยเหนือพื้นดิน

ซูเหมยหลันเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ ก่อนหันขวับไปตามเสียง ใจเต้นระรัวด้วยสัญชาตญาณระวังภัยที่นางเรียนรู้ได้ดีเมื่อต้องอยู่คนเดียวกลางป่าเขา ผู้ที่ปรากฏกายเบื้องหน้าคือชายหนุ่มร่างสูงในชุดเดินทาง

ใบหน้าคมเข้มเริ่มมีเคราบางแต่งแต้มคล้ายผู้เดินทางจากแดนไกล ดวงตาคู่นั้นสะท้อนแววแปลกใจเมื่อเห็นหญิงสาวผู้เดียวกับเนินศพใหม่

เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนยกมือคารวะเบาๆ

“ขออภัย ข้าผ่านทางมาหาที่พักแรม เห็นเรือนเล็กในป่าและรอยควันไฟจึงเดินตามมา มิได้ตั้งใจจะรบกวน”

ซูเหมยหลันไม่ตอบในทันที นางเพียงจ้องเขาเงียบๆ ดวงตาแดงก่ำจากการร่ำไห้ แต่ยังเปล่งประกายอ่อนเศร้าชวนสะกดสายตา

ชายหนุ่มก้มศีรษะอีกครั้งอย่างสุภาพ

“ข้าชื่อ หลี่เฉินอวี่ เป็นบัณฑิตที่เดินทางจากเมืองหลวงเพื่อกลับบ้านเกิด แต่โชคร้ายหลงทางในหุบเขาหลายวัน ข้าไม่ได้กินอะไรมาหลายมื้อแล้ว หากแม่นางไม่รังเกียจ ข้าอยากจะขอน้ำและอาหารสักมื้อให้อิ่มท้อง”

นางยังไม่ตอบ แต่ผงกศีรษะเพียงเล็กน้อย ก่อนลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินนำเขากลับเรือนไม้หลังเล็กโดยไม่กล่าวสิ่งใด

กลิ่นหอมของน้ำแกงปลาลอยกรุ่นภายในเรือน นางยกชามน้ำแกงปลาสมุนไพรมาให้เขา

หลี่เฉินอวี่นั่งนิ่ง พินิจใบหน้าของนางอย่างเงียบงัน เห็นความงามอ่อนหวานในความเศร้า ดวงตาเรียวยาวที่เคยเปียกชื้น บัดนี้กลับมีความสงบเย็นที่ชวนให้ใจสะท้าน

“บ้านของข้าไม่มีข้าวสารหรือแป้ง กินผลไม้ ผักปลาเท่าที่หาได้” นางกล่าวเสียงเบา

“นั่นก็ดีมากแล้ว ขอบคุณแม่นาง” เขารับน้ำแกงนั้นแล้วยกดื่มจากชามด้วยความหิว พอน้ำแกงพร่องลงก็ใช้ตะเกียบไม้ไผ่คีบกินเนื้อปลาก้นชามแล้วยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกพอใจกับอาหารมื้อนี้

“ตอนที่ข้ามา เห็นว่าแม่นางนั่งอยู่ที่หลุมศพ นั่นเป็นของ...”

“สามีข้าเอง เขาเพิ่งเสียเมื่อคืนนี้ ข้าเพิ่งฝังเขา...ด้วยมือของข้าเอง” น้ำเสียงนั้นสั่นเล็กๆ ที่ท้ายประโยค ดวงตาหงส์กลอกตาขึ้นบนแล้วกะพริบไล่น้ำตาให้กลับเข้าไป วันนี้นางร้องไห้มามากพอแล้ว

“ข้าเสียใจด้วยเรื่องสามีของแม่นาง” เขากล่าวอย่างแผ่วเบา

“เขาเป็นคนดี” ซูเหมยหลันหลุบตาลง เสียงของนางเบาราวลมพัด

“เขารับข้ามาอยู่ที่นี่ ดูแลข้า เป็นอย่างดี เราใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย.... แต่โชคร้ายที่สวรรค์ไม่ปรานีคนดีอย่างเขา”

หลี่เฉินอวี่เงียบไปครู่หนึ่ง

“แม่นาง ช่วงหลายวันนี้ข้าขอพักที่นี่ ช่วยดูแลบ้านหลังนี้และแม่นางเพื่อตอบแทนบุญคุณได้หรือไม่”

คำพูดนั้นทำให้ซูเหมยหลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายลังเล

“ช่วยข้าหรือ” นางถามเสียงเบา

“สามีเจ้าเพิ่งจากไป หลายอย่างในบ้านต้องอาศัยแรงบุรุษ ข้าจะหาบน้ำมาให้เต็มตุ่ม ตัดฟืนให้กองสูง ก่อนจากไปข้าอยากให้ท่านใช้ชีวิตอยู่ต่ออย่างลำบากน้อยที่สุด” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และยิ้มที่อบอุ่นคล้ายคลึงกับคนที่จากไป

หญิงสาวนิ่งเงียบไปเนิ่นนานก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบปนลังเล

“อยู่ก็ได้ แต่ตัดฟืนก็พอ ที่นี่ใกล้ลำธาร สามีของข้าใช้ท่อไม้ไผ่ส่งน้ำจากน้ำตกเล็กๆ ตรงริมธารส่งลำเลียงมาที่บ้านแล้ว” นางกล่าวแล้วก็อดคิดถึงสามีไม่ได้ เขาทำทุกอย่างอำนวยความสะดวกเอาไว้ราวกับรู้ว่าตัวเองต้องจากไปในสักวัน

บ้านหลังนี้สร้างอย่างคงทน ไม้แผ่นหนา หลังคาก็มุงด้วยแผ่นไม้สองชั้นไม่มีรั่วซึม รั้วรอบบ้านก็แข็งแรงป้องกันสัตว์ใหญ่ไม่ให้เข้ามาได้ มีท่อส่งน้ำมาถึงบ้าน ลำธารก็อยู่ใกล้เพียงไม่ถึงร้อยก้าว รอบๆ บ้านก็เป็นทิวไผ่สูงล้อมรอบเป็นปราการป้องกันลมได้เป็นอย่างดี

“เขาทำทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว...” นางพึมพำ

ดวงตาของเขาฉายแววชื่นชม ตอนที่เขามาถึงนั้นเป็นยามพลบค่ำแล้ว ไม่ได้สังเกตรอบๆ บ้าน แต่ภายในบ้านนั้นดูแข็งแรงมากกว่ากระท่อมหรือบ้านไม้ที่สร้างลวกๆ พอได้ยินเรื่องท่อส่งน้ำก็ยิ่งนับถือในความคิดของสามีนาง

หากแต่นอกเหนือจากความคิดที่รอบคอบของสามีของนางแล้ว ใบหน้าของนางนั้นจะว่าไปก็งามไม่น้อย เสียดายหากต้องเป็นหม้ายอยู่ในป่าเพียงลำพัง

“เช่นนั้นคืนนี้ข้าขอนอนที่ห้องนี้ จะไม่ล่วงล้ำเข้าไปยังห้องด้านใน แม่นางไม่ต้องเป็นกังวล” น้ำเสียงนั้นกล่าวอย่างสุภาพ

นางเพียงพยักหน้ารับ ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงได้วางใจชายแปลกหน้าผู้นี้ หรือบางทีการที่สูญเสียสามีทำให้นางรู้สึกเปล่าเปลี่ยว และไม่อยากอยู่เพียงลำพังในคืนที่แสนเศร้านี้

************************