บทที่ 1. อ่อยเหยื่อ
นารินค่อนข้างแปลกใจที่วันนี้เธอถูกให้เข้ามาช่วยงานเลขาสาวของท่านประธานแห่งเลอเวนส์กรุ๊ป สาวน้อยที่ใกล้จะพ้นรั้วมหาวิทยาลัยตื่นเต้นจนแทบทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
“พี่รวีคะรินปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำจังเลยค่ะ”
“โธ่เอ๊ย เด็กน้อย ตื่นเต้นละสิท่า” แสงรวี เลขาสาวสวยที่ดูดีทุกกระเบียดนิ้วยิ้มพลางส่ายหัวช้าๆ อย่างเอ็นดูสาวน้อยตรงหน้า นารินน่ารักนิสัยดีและหัวไวสอนงานแป๊บเดียวก็จำได้ทำให้เธอไม่เหนื่อยและผ่อนแรงได้เยอะที่สำคัญนารินยังเก่งภาษาด้วย ข้อนี้เองที่ทำให้เธอสามารถทำงานได้เร็วเพราะมีคนช่วยแปลเอกสารนั่นเอง
“ค่ะ” นารินพยักหน้าอายๆ ยืนบิดไปบิดมามือเท้าเย็นเฉียบ
“จะไปก็รีบไปเร็วๆ เข้าล่ะ อีกสิบห้านาทีจะประชุมแล้ว เอกสารทุกอย่างต้องพร้อมก่อนที่ท่านประธานจะเข้า ท่านประธานเข้มงวดมากเรื่องเวลาและความพร้อม” ไม่ต้องรอให้เลขาสาวสวยบอกนารินก็วิ่งแจ้นไปยังห้องน้ำทันทีและอีกสามนาทีต่อมาก็เข้าไปช่วยแสงรวีจัดเตรียมเอกสารความพร้อมในการประชุมประจำไตรมาสของบริษัทชื่อดัง...
“เอาละเรียบร้อยแล้ว น้องรินไปนั่งพักก่อนนะ หากมีอะไรเพิ่มเติมพี่จะเรียกมาช่วย”
“ค่ะพี่รวี” นารินเดินออกไปจากห้องประชุมอย่างรวดเร็วเพราะไม่ต้องการจะอยู่ในห้องนี้อยู่แล้ว เกร็งแย่เลยเพราะในที่ประชุมคงจะมีแต่ผู้ใหญ่ หุ้นส่วนของบริษัทก็คงจะมีแต่คนวัยกลางคนหรือเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอ ยิ่งท่านประธานก็คงจะอายุราวห้าสิบแน่ๆ นารินคิดในใจขณะเดินไปที่ประตู แต่แล้วในขณะที่เธอปิดประตูแล้วหันหลังกลับก็ต้องใจหายวูบเมื่อเธอชนเข้ากับใครสักคนที่ทำให้เธอนึกถึงกำแพงเหล็กมากกว่าจะเป็นร่างกายของมนุษย์
“โอ้ย... ว้าย...” นารินร้องออกมาด้วยความเจ็บและจุกแล้วก็ตามด้วยเสียงอุทานด้วยความตระหนกเมื่อร่างที่กำลังเซถลาเกือบจะกองกับพื้นนั้นถูกรั้งไว้ด้วยมือของใครคนนั้นก่อนที่ร่างของเธอจะปลิวหวือมาปะทะกับอกกว้างของชายหนุ่มปริศนา
“ระวังหน่อยสิ” เสียงทุ้มพูดภาษาไทยชัดเจนดังขึ้นนารินจำต้องเงยหน้าขึ้นมองคนพูดจนคอแทบหักเพราะเขาสูงมาก และเมื่อเธออยู่ใกล้เขาชนิดที่ว่าแนบชิดมากๆ ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อภายใต้ชุดสูทเนื้อดีที่เขาสวมใส่ แผงอกกว้างและวงแขนที่โอบเธอไว้ก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกตัวเล็กกระจ้อยร่อยเหลือเกิน...
“อะ เอ่อ คือ ริน...”
“เธอเป็นนักศึกษาฝึกงานใช่ไหม” นารินพยักหน้าช้าๆ ยังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของคนถามอย่างตื่นตะลึงมึนงง ใจสั่นระทึกร่างสาวร้อนผ่าวใจหวิวหวั่นรู้สึกเหมือนจะเป็นลมเสียให้ได้
“คะ ค่ะ”
“เอาล่ะ จะไปไหนก็ไปเถอะ”
“อะ เอ่อ...” นารินอ้ำอึ้งยังคงทำอะไรไม่ถูก
“อะไรอีกล่ะฉันจะเข้าไปในห้องประชุม” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลายังคงทำเสียงดุๆ ใส่เธอ
“ระ รินไปไม่ได้..” สาวน้อยเสียงอ่อย ชายหนุ่มก้มลงมองเธอพลางขมวดคิ้วใส่ด้วยท่าทางฉุนเฉียวจนนารินใจสั่นทั้งกลัวทั้งตื่นเต้น
“ทำไม”
“กะ ก็ คุณ กะ กอดรินไว้..” คำตอบที่ออกจากริมฝีปากระเรื่อทำให้วงแขนที่รัดร่างแน่งน้อยไว้ค่อยๆ คลายออก และทันทีที่วงแขนแข็งแรงคลายออกไปนารินก็แทบล้มทั้งยืน ร่างบางเซน้อยๆ แต่ก็สามารถยืนด้วยขาของตนเองได้แล้วก้าวถอยห่างจากเขาไปหนึ่งก้าว แล้วร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มเดินผ่านหน้าเธอเข้าไปในห้องประชุมด้วยท่าทางเคร่งขรึมเหมือนเธอเป็นอากาศธาตุ
“โอย ดีนะเนี่ยยังไม่มีใครมา ไม่อย่างนั้นไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” นารินเป่าลมออกจากปากด้วยความโล่งอกแต่ใจสาวยังเต้นกระหน่ำไม่หยุด
“แล้วตกลงเขาเป็นใครนะ” คิ้วเรียวขมวดมุ่นแล้วเดินไปนั่งรอแสงรวีเรียกใช้ที่โต๊ะทำงานของตน ดวงตากลมโตมองแฟ้มและหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดทิ้งไว้ มือเล็กหยิบแฟ้มงานขึ้นมาดูอย่างพิจารณาอีกครั้งแล้วก็ต้องเบิกตาโตเมื่อใบหน้าหล่อเหลาของคนที่เธอชนเมื่อครู่กับใบหน้าของท่านประธานใหญ่ของบริษัทนั้นคือคนคนเดียวกัน... แต่ไม่ทันที่นารินจะได้คิดอะไรต่อแสงรวีก็เรียกหาเธอให้เข้าไปช่วยงานในห้องประชุม นารินแข้งขาสั่นมือเท้าเย็นเฉียบเลยทีเดียวเมื่อจะต้องได้พบเจอเขาอีกครั้ง
และวันนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี...
“พี่รวีคะ คือ ท่านประธานนี่ไม่ใช่ผู้หญิงหรือคะ” นารินถามขณะยืนรอเอกสารจากแสงรวี
“อ้อ พี่ลืมบอก คุณดามพ์เป็นท่านประธานคนใหม่น่ะ ความจริงแล้วคุณดามพ์นั่งเก้าอี้ประธานใหญ่ของเลอเวนส์กรุ๊ปมาสักพักแล้ว แต่เพิ่งจะให้เปลี่ยนบอร์ดและเอารูปท่านใส่เข้าไปในแฟ้มเอกสารและไฟล์ข้อมูลบริษัทอย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนนี่เอง วันนี้การประชุมก็จะมีการพูดถึงเรื่องนี้ด้วย” เสียงหวานของแสงรวีดังขึ้นพร้อมกับร่างระหงเข้ามานั่งข้างๆ อย่างสนิทสนม...
“อ้อ เหรอคะ ถึงว่ารินเพิ่งเคยเห็น” นารินใจเต้นแรงเมื่อคิดถึงชายหนุ่มผู้ซึ่งมาเป็นเจ้านายของตน แม้จะเป็นแค่นักศึกษาฝึกงานแต่เธอก็จำเป็นต้องรู้ว่าใครเป็นเจ้านายใหญ่
“คุณดามพ์เป็นคนไทยหรือคะ”
“ใช่แล้ว เพราะคุณ ดรุณี แม่ของคุณดามพ์เป็นคนไทยแต่ก็เป็นลูกครึ่งด้วยคุณดรุณีเป็นลูกครึ่งไทยอังกฤษ ส่วนคุณพ่อคุณดามพ์เป็นคนสวีเดนท่านก็หล่อเหลาไม่เบาเลยนะ แต่พี่ก็ไม่ค่อยได้พบท่านบ่อยนักหรอกท่านงานเยอะและเดินทางไปดูงานที่อื่นบ่อยๆ อีกอย่างคุณพ่อของคุณดามพ์ก็เสียชีวิตมาหลายปีแล้ว ส่วนคุณดรุณีน่ะท่านเคยนั่งแทนประธานก่อนที่จะแต่งตั้งคุณดามพ์”
“ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นแม่ลูกกันนี่ ดูไม่ออกเลยนะคะว่าคุณดรุณีกับคุณดามพ์เป็นแม่ลูกกัน คุณดามพ์ไม่มีส่วนไหนเลยเหมือนคุณดรุณี ทั้งสีตาสีผม” นารินมองรูปท่านประธานคนเก่ากับท่านประธานคนใหม่อย่างพิจารณา ดวงตากลมโตมองสำรวจรูปหน้าของคนในรูปอย่างละเอียดลออ
“อ้อ... รินว่าเขาเหมือนกันตรงปากค่ะ ปากคุณดรุณีเรียวสวยได้รูป ปากคุณดามพ์เหมือนปากผู้หญิงเลยค่ะ สวยกว่าผู้หญิงบางคนอีก” นารินหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อมองสบตาชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำตาลเข้มประกายทองในรูป ใบหน้าเรียวยาวได้รูปประกอบด้วยคิ้วยาวเหนือดวงตาคมสีอำพันสวยแปลกตาและราวกับว่าดวงตาคมคู่นั้นมันส่องประกายได้ แม้อยู่ในรูปถ่ายยังคงระยับพราวพรายทำให้คนมองใจละลายได้ไม่ยาก จมูกโด่งสวยไม่งองุ้มรับปรับริมฝีปากเรียวสวยสีสดอย่างคนสุขภาพดี เรียวปากที่เธอนึกชื่นชมว่าสวย สวยกว่าปากเธอเสียอีก...
“ใช่คุณดามพ์หล่อมากกกก... และปากสวยมาก คุณดรุณีเองก็สวยมากเลยนะ แต่เจ้ายศเจ้าอย่างทีเดียวแหละ ก็คนเขามีเชื้อมีสายแล้วก็ร่ำรวยน่ะนะ ตอนที่นั่นแท่นท่านประธานของเลอเวนส์กรุ๊ปนี่นะ ทุกอย่างจะต้องเป็นระเบียบเป๊ะพนักงานสาวๆ นี่ต้องใส่ยูนิฟอร์มเรียบร้อยห้ามใส่สั้นห้ามแต่งหน้าเข้มห้ามเสียงดัง บรรยากาศราวกับย้อนยุคไปสมัยกรุงศรีฯ เลยล่ะ” แสงรวีพูดยิ้มๆ
“แต่ท่านก็ใจดีกับทุกคน พนักงานที่นี่ร้องไห้กันใหญ่ตอนที่ท่านเกษียณตัวเอง”
“แล้ว เอ่อ คุณดามพ์จะมาทำงานที่นี่ทุกวันใช่ไหมคะพี่รวี”
“ก็ใช่จ้ะ แต่ก็แค่เดือนเดียวแหละที่คุณดามพ์จะอยู่ที่สำนักงานใหญ่ แต่จะว่าไปคุณดามพ์ก็ไม่ค่อยได้อยู่หรอกส่วนใหญ่ก็สั่งงานผ่านพี่อีกที ใช้การสื่อสารออนไลน์สั่งงาน สั่งประชุม มีวันนี้เป็นการประชุมประจำไตรมาสคุณดามพ์จึงต้องมาเอง” แสงรวีทำงานที่นี่มาจะร่วมสิบปีแล้วได้รับความไว้วางใจจากคุณดรุณีจนกระทั่งมาถึงดามพ์ และเธอก็เป็นเลขาที่ทำงานได้ดีเยี่ยม
“อ้อค่ะ..”
“นี่จะเที่ยงแล้วไปหาไรกินกันป่ะ” แสงรวีลุกขึ้นเก็บของให้เรียบแล้วก่อนจะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วเดินคุยกับนารินไปยังห้องอาหารของบริษัท...
ทางด้านดามพ์กำลังยืนครุ่นคิดอยู่คนเดียวในห้องทำงานใหญ่โอ่โถง ดวงตาคมสีอำพันดูขุ่นข้นด้วยประกายบางอย่าง เรียวปากหยักสวยที่ใครๆ ต่างชื่นชมว่างดงามราวปากอิสตรียกยิ้มน้อยๆ มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับอยู่สองสาย ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ แล้วกดโทร. ออกไปยังเบอร์นั้นเมื่อเห็นว่ามีสายที่ไม่ได้รับนั้นเป็นใคร คุณดรุณี มารดาของเขานั่นเอง
“สวัสดีครับมี้”
“ว่าไงนายตัวดีไม่เข้าบ้านเลยนะ มาตั้งหลายวันแล้วไม่ใช่เหรอยะ..” ใช่แล้วเขามาถึงเมืองไทยได้เกือบสองสัปดาห์แล้วแต่เพราะยังอยากเที่ยวหาความสำราญใส่ตัวจึงเลือกพักที่คอนโดหรูของตนมากกว่าจะกลับไปฟังมารดาสาธยายถึงบรรดาสาวๆ ที่นางสรรหามาให้เขาดูตัว
“ผมยังยุ่งๆ อยู่ครับมี้ แต่ผมจะเข้าไปหาอยู่นะครับ มีของฝากเยอะแยะเลยด้วย” รู้ว่ามารดางอนจึงเอาของฝากมาหลอกล่อ และได้ยินเสียง หึ เบาๆ จากคนปลายสาย ดามพ์นึกภาพออกเลยว่ามารดาต้องกำลังค้อนให้เขาอย่างแน่นอน
“ย่ะ พ่อคนงานเยอะ แค่นี้ล่ะแต่อย่าลืมมาให้ได้นะ”
“ครับมี้ รักมี้นะครับ” ชายหนุ่มวางสายก่อนจะยิ้มบางๆ เมื่อนึกถึงมารดา ระหว่างบิดากับมารดาแล้วดามพ์ค่อนข้างจะสนิทสนมกับมารดามากกว่าเพราะคุณดรุณีนั้นตามใจเขามากกว่าคุณ แดนนี่ ซึ่งค่อนข้างจะเข้มงวดและจริงจังแต่บิดาก็เป็นพ่อที่ดี และถ่ายทอดความรู้งานทุกอย่างให้เขาอย่างเต็มที่ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจไปเมื่อหลายปีก่อน คุณแดนนี่เป็นผู้ชายที่เก่งกาจฉลาดเฉลียวเป็นฮีโร่ในใจเขาเลยทีเดียว...
“เจมส์ นายเตรียมรถให้ฉันด้วย เย็นนี้ฉันจะขับเอง”
ชายหนุ่มหันไปสั่งคนสนิทที่ติดตามเขาทุกฝีก้าวราวกับเงาตามตัวซึ่งยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของตน
“ถ้าคุณดรุณีรู้เข้าผมแย่แน่ๆ” เจมส์แย้งเสียงเรียบใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา แตกต่างจากผู้เป็นนายที่ใบหน้าเกลื่อนด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อดามพ์ยิ้มให้หญิงสาวคนไหน ก็ยากนักที่เจ้าหล่อนจะต้านทานเสน่ห์อันล้นเหลือของเขาได้
“นายนี่ก็จริงจังไปซะทุกงานเลยนะเจมส์ แล้วนี่จะยืนเป็นหุ่นอีกนานมั้ย เวลาอยู่กันลำพังนายไม่ต้องปั้นหน้ายักษ์ตลอดเวลาก็ได้ ฉันเมื่อยแทน”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมเป็นแค่ลูกน้อง เป็นลูกจ้างเหมือนคนอื่นๆ”
“แต่ฉันเห็นนายเป็นเพื่อนเป็นน้อง พ่อฉันก็ไม่ได้เลี้ยงนายมาให้เป็นลูกจ้างฉันนะเจมส์ บางครั้งมี้ก็ถือตัวจนเกินเหตุ นายอย่าไปถือสาท่านเลย” เจมส์เป็นลูกของบอดีการ์ดของบิดาซึ่งเป็นญาติห่างๆ กับคุณแดนนี่ และพ่อของเจมส์ก็เป็นคนดีซื่อสัตย์รับใช้บิดาของเขาจนสิ้นลมหายใจ คุณแดนนี่จึงรับเจมส์เป็นบุตรบุญธรรมและส่งเสียให้เจมส์ได้เล่าเรียนอย่างเต็มที่ตอนเด็กๆ เจมส์อาจจะไม่ได้เรียนที่เดียวกับเขาแต่ในระดับมหาวิทยาลัยเขากับเจมส์เรียนที่เดียวกันเป็นเงาของกันและกันไปโดยปริยาย แต่เจมส์เป็นคนพูดน้อยและถ่อมตัวไม่เคยตีตัวเสมอเขาเลยสักครั้งแม้ดามพ์จะบอกเจมส์เสมอว่าเขาเห็นเจมส์เป็นเสมือนน้องชายคนหนึ่งก็ตาม แต่เจมส์พอใจที่จะอยู่ในตำแหน่งบอดีการ์ดของเขาเป็นเลขาเป็นมือขวาของเขาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว นั่นเพราะคุณดรุณีเคยต่อว่าเจมส์อยู่ครั้งหนึ่งว่าเจมส์ไม่รู้จักเจียมตัว ทำให้เจมส์ไม่กล้าจะยอมรับความหวังดีที่เขามอบให้
“แต่ผม..”
“ไม่ต้องแต่ เวลาฉันเห็นนายทำตัวเจียมเนื้อเจียมตัวเมื่อไหร่ฉันเองที่รู้สึกผิดนายรู้มั้ย พ่อของฉันเองก็คงไม่ชอบแน่ๆ หากไม่มีนายกับพ่อ ฉันเองก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่มาจนทุกวันนี้มั้ย ขอร้องล่ะเวลาอยู่ด้วยกันไม่ต้องเคร่งครัดไม่ต้องทำตัวเหินห่างแบบนี้หรอก” คราวนี้เจมส์ลดความตึงเครียดแกร่งกระด้างลง ดามพ์ยกมือตบบ่าของเจมส์เบาๆ
“แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เหมือนฉันได้น้องชายคืนมา”
“ขอบคุณครับพี่ดามพ์” สรรพนามที่เคยใช้เรียกขานกันเมื่อนานมากลับมาอีกครั้ง ใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มเย็นชาในสายตาของคนอื่นระบายด้วยรอยยิ้มบางๆ ดูเก้อเขินของเจมส์
“แบบนี้สิ ถึงจะเรียกว่ารักกันจริง เอาล่ะฉันมีเรื่องสนุกๆ ต้องทำวันนี้นายกลับคอนโดไปก่อนเลยนะฉันดูแลตัวเองได้”
“แน่ใจนะครับว่ามันจะไม่มีเรื่องตามมา”
“นายเห็นฉันเป็นคนยังไง”
“ก็เห็นว่าคลาดสายตาผมเมื่อไหร่ พี่ดามพ์สร้างเรื่องเสมอ”
“แหม.. พอได้ทีก็ชักปากดีนะเจมส์” ดามพ์ทำทีหรี่ตามองอย่างไม่พอใจ เจมส์ยิ้มบางๆ ตามแบบของตน
“ผมพูดเรื่องจริงครับ”
“เอาเถอะงานนี้รับรองมี้ไม่ว่านายและฉันไม่สร้างเรื่อง ตกลงตามนี้ ไปเตรียมรถให้ฉันเลย แล้วงานก็เอากลับไปให้ฉันที่คอนโดด้วย ฉันจะดูรายละเอียดอีกที” เจมส์พยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องไป ดามพ์มองประตูที่ปิดสนิทใจก็พลันนึกไปถึง ธุระ ที่เขาจะต้องไปจัดการด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ...
