บทที่ 6
ผมนั่งมองอาหารตรงหน้า ซึ่งมันคือส้มตำไทย ต้มแซ่บ ซุปหน่อไม้ ลาบปลาดุก หมูแดดเดียว ยำหมูยอ คอหมูย่าง ข้าวเหนียวและเส้นหมี่ลวก ผมไม่น่าเอ่ยปากบอกให้ปายสั่งเลยจริงๆ เพราะที่มีตอนนี้กินทั้งหมู่บ้านคงไม่หมดแน่ๆ เผลอๆ จะได้ห่อกลับบ้าน เพราะอิ่มกันเสียก่อน
“พี่ลมทำหน้าแบบนี้ อย่าบอกนะคะว่ากินไม่ได้” ผมสังเกตเห็นสีหน้าเธอดูลังเลๆ ด้วยซ้ำ
“พี่กินได้” ผมอยากจะพูดว่านี่คืออาหารโปรดของผมด้วยซ้ำ แต่ที่นั่งนิ่งคืออึ้งกับปริมาณที่เห็นมากกว่า อะไรมันจะเยอะขนาดนี้
“งั้นลงมือกันเถอะค่ะ ปายหิวจะแย่แล้ว” ผมพยักหน้าให้ปายจึงเริ่มกิน สิ่งแรกที่เธอตักใส่จานคือส้มตำไทยรสจัดจ้าน เพราะเห็นพริกแดงเต็มไปทั้งจานก็ว่าได้ พอเห็นเธอกินความหิวของผมก็เริ่มมากขึ้น จึงสลัดภาพอันเคร่งขรึมทิ้งแล้วเริ่มลงมือกินเช่นกัน
ขณะกินข้าวก็หวนคิดถึงเรื่องเมื่อชั่วโมงก่อน ถ้าผมไม่นั่งทำงานจนดึกแล้วบังเอิญผ่านไปเห็นเหตุการณ์ตอนผู้ชายคนนั้นรีดไถปายเข้าจะเป็นยังไง ผมก็ยากจะเดา ความรู้สึกห่วงปายอย่างบอกไม่ถูก พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็อดที่จะดุเธอไม่ได้ตามเคย ผมนี่ท่าจะเป็นเอามาก ทีกับคนอื่นก็ไม่เห็นจะเป็นขนาดนี้
“นี่ค่ะ ลองนี่ด้วย แล้วก็นี่ค่ะ รับรองแซ่บ”
“พอแล้ว” ผมเอ่ยปราม เพราะปายเล่นตักนั่นนี่ใส่จานผมจนล้นไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าจะเริ่มกินอะไรก่อนดี ในจานตอนนี้มีทั้งส้มตำ ยำหมูยอกับลาบปลาดุก มันรวมมิตรกันอยู่ในจานเหมือนข้าวในบาตรพระไม่มีผิด
“โอเค พอก็พอ แต่ห้ามดุปายนะ” เธอแทงกั๊กผมไว้ นั่นทำให้ผมแอบยิ้ม
“จะดุก็เพราะตักสารพัดมาใส่จานพี่นี่ล่ะ”
“ก็แค่อยากขอบคุณ”
“อืมม์” ผมเอ่ยรับแค่นั้น เป็นคำเอ่ยรับที่ชอบพูดติดปากและเพื่อนสนิทอย่างจิณณ์ก็แนะนำมาด้วย ส่วนคนตรงหน้าคงหิวมากแน่ๆ ถึงกินเอาๆ ไม่ยอมพูดอะไรกับผมอีก ผมเองก็เริ่มกินเงียบๆ เช่นกัน แต่ก็แอบสังเกตปายไปด้วย ถึงได้รู้ว่าเธอกินเผ็ดได้เก่งทีเดียว แต่ที่ไม่กินคือต้นหอม หัวหอม เพราะเห็นเขี่ยออกจากจานกองใหญ่ ผิดกับผมที่ชอบกินหอมเป็นพิเศษ นี่ถ้าสนิทกันมากๆ คงตักหอมที่เธอเขี่ยไว้ข้างจานมากินแล้ว
‘ถ้าสนิทกันมากๆ’ ประโยคนี้ทำไมมันถึงสะกิดใจผมนักก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ผมรู้จักเธอมาก็นานเป็นสิบปี ในฐานะเพื่อนสนิทพี่ชายเธอ ผมจึงสามารถเข้านอกออกในบ้านปายได้ทุกเมื่อ แต่นั่นกลับไม่ได้ทำให้เราสนิทกันอย่างที่ควรจะเป็น ปายมักจะเลี่ยงที่จะอยู่กับผมคงเพราะผมชอบหาเรื่องดุเธออย่างที่จิณณ์บอก
“ปายว่าพี่ดุไหม”
“แค่กๆ พะ…พี่ลมพูดว่าอะไรนะคะ” เธอถึงกับสำลักหน้าดำหน้าแดง จนผมต้องรีบส่งน้ำให้ดื่ม กับอีแค่คำถามว่าผมดุไหมถึงกับสำลักเลยเหรอ
“พี่ถามว่า ปกติพี่ดุไหม” ผมถามย้ำประโยคเดิม พร้อมกับมองปายเพื่อรอฟังคำตอบ เธอดูอึกๆ อักๆ ที่จะตอบอย่างเห็นได้ชัด
“จะบอกยังไงก่อนดี”
“เอาตามความคิดปาย” แม้จะรู้คำตอบแต่ผมก็ยังถาม
“ดุมั้งคะ” ตอบเสร็จเธอก็ส่งยิ้มแห้งๆ มายังผม รอยยิ้มที่บ่งบอกว่ากำลังปกปิดความจริงอะไรบางอย่างอยู่
“มั้งคะ ยังไง”
“คนอื่นปายไม่รู้ แต่สำหรับปาย พี่ลมดุทั้งเวลาที่ปกติและไม่ปกติ ดุเหมือน…”
“หมา” ผมต่อประโยคให้ นั่นทำเอาปายสำลักน้ำที่กำลังดื่มอีกหน
“อันนี้ปายไม่ได้พูดนะ”
“อืมม์…จิณณ์มันก็เคยบอกว่าพี่ดุเหมือนหมา”
“ค่ะ”
“ค่ะเหรอ” สีหน้าของผมบึ้งตึงขึ้นมาทันที แววตาก็คงแข็งกร้าวคล้ายคนกำลังโกรธอยู่เป็นแน่ ถึงทำให้ปายต้องรีบแย้งหน้าตาตื่น
“เอ่อ…ปายแค่ค่ะรับคำนะคะ ไม่ใช่ค่ะเห็นด้วย”
“อืมม์…” ผมเอ่ยรับคำเดิม แต่ก็ลอบมองดูปฏิกิริยาของเธอตลอด เห็นแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน จิณณ์บอกว่าปายเป็นคนคุยสนุก ตลก ติดบ้าๆ บอๆ อย่างนั้นเหรอ แม้จะยังไม่แน่ใจ แต่ต่อจากนี้เราทำงานด้วยกัน ก็คงได้เห็นปายอีกมุมที่ผมไม่เคยเห็น ส่วนผมก็คงเลิกดุแล้วพยายามพูดคำว่า อืมม์…ให้บ่อยขึ้น (ถ้าทำได้)
แต่พอเห็นท่าทางหวาดๆ ของปายที่แสดงออกเวลาอยู่กับผมแล้วก็นึกสนุก เพราะแบบนี้ไง ผมถึงชอบดุเธอ ทั้งดุของจริงและดุแกล้ง พอให้เลิกทำก็เหมือนจะติดเป็นนิสัยไปเสียแล้ว เฮ้อ…
“กินต่อเถอะจะได้กลับบ้านกัน”
“ค่ะ” เธอเอ่ยรับ ก่อนจะกลับมาตั้งหน้าตั้งตากินอีกครั้ง ผมนั้นอิ่มจนท้องจะแตก ส่วนปายยังคงเจริญอาหาร กินจุขนาดนี้ผู้ชายที่ไหนจะมาเลี้ยงไหว หืม…
กินจุแถมยังกินคลีนของจริง เพราะกินเรียบชนิดไม่หลงเหลือให้ห่อกลับบ้าน ตัวก็เล็กแค่นี้ไม่รู้เอาไปเก็บไว้ไหนหมด สุดท้ายผมก็ไม่ได้ให้เธอเลี้ยงอะไรหรอกครับ
พอเช็คบิลเสร็จต่างฝ่ายก็แยกย้ายกลับบ้าน แม้จะเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ค่อยถูกในตอนเริ่มต้น แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดีโดยมีอาหารรสแซ่บบนโต๊ะเป็นตัวเชื่อม การกินข้าวด้วยกันสองคนมื้อแรกจบลงพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างของผมที่เปลี่ยนไปด้วย
“ยิ้มอะไรของเอ็ง”
