บทที่ 4
“ชมดิวะ ลองเปิดโหมดยิ้มเฟรนลี่ดูบ้าง ไม่ต้องเป๊ะมันทุกเรื่อง ชีวิตเอ็งจะสนุกขึ้นอีกเยอะ รับรองว่าถ้าเอ็งใช้โหมดนี้จะได้รู้จักน้องสาวของข้าคนนี้อย่างแท้จริง เอ็งจะได้รู้ว่าปายเป็นคนตลกคุยสนุก บ้าๆ บอๆ เสียด้วยซ้ำไป ใครที่สนิทกับปายรับรองว่าชีวิตนี้มีสีสันอีกเพียบ นี่ข้าไม่ได้อวยน้องสาวตัวเองเลยนะ”
“เออ…จะลองดู แต่แค่คิดก็ยากแล้ว”
“ถ้ามันยากเอ็งก็หุบปากแล้วทำเสียง...อืมม์ๆ ตามสไตล์ไปแล้วกัน” ผมรู้ว่าจิณณ์พูดประชด แต่เผอิญผมชอบทำเสียงอืมม์ๆ อย่างที่มันบอกด้วยสิ เลยเข้าทาง
“อืมม์…แค่นี้ล่ะ ข้าจะทำงานแล้ว” ผมรีบตัดบทแล้วกดวางสายทันที เพราะดูท่าคงเถียงเรื่องนี้ไม่ขึ้นแล้วแน่ๆ
คิดๆ แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงต้องดุปายมากมายขนาดนั้น ดุกว่าพี่ชายของเธอด้วยซ้ำไป แค่เห็นอะไรไม่ถูกใจหรือเธอทำอะไรที่ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ปากผมมันก็ไวชิงพูดออกไปอย่างที่ใจคิด แบบนี้กระมังปายถึงได้หลบหน้าหลบตาผมมาตลอด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหาเรื่องดุเธอมาจนถึงตอนนี้
“แล้วเราจะไปดุอะไรปายตั้งเยอะแยะวะ”
ที่นี่เข้างานเก้านาฬิกา ส่วนเวลาเลิกงานคือสิบเจ็ดนาฬิกาสามสิบนาที ฉันจงใจโอ้เอ้เพื่อถ่วงเวลา นั่นเพราะอยากกลับพร้อมขวัญใจ ถ้าเขาจะกลับต้องเดินผ่านโต๊ะทำงานของฉันแน่นอน แต่ผิดคาด เพราะรอแล้วรอเล่าจนถึงหกโมงก็ไม่เห็นวี่แววว่าพี่กราฟจะผ่านมา
ตอนนี้ทุกคนในแผนกกลับออกไปหมดแล้ว เหลือแค่ฉันคนเดียวกับบรรยากาศชวนวังเวงชอบกล ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผิดหวังขั้นสุดก็ว่าได้ คว้ากระเป๋ามาสะพายราวกับคนหมดอาลัยตายอยากแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินคอตกกลับออกไป แต่จังหวะนั้นฉันกลับชนโครมเข้ากับใครบางคนเข้า ฉันนี่กระเด็นส่วนเขายังคงยืนอยู่ที่เดิม
ฉันกัดฟันกรอดๆ บวกกับความหงุดหงิดที่ไม่ได้เจอพี่กราฟ ทำให้ฉันพร้อมจะเอาเรื่องฝ่ายตรงข้าม แต่พอเงยหน้าขึ้นใบหน้าตึงๆ ของฉันก็ต้องแปรเปลี่ยนมาเป็นยิ้มแป้นประหนึ่งตัวแทนประเทศได้มงกุฎนางงามจักรวาล
“พี่กราฟ”
“ดีใจจังที่มาทัน นึกว่าปายกลับบ้านไปแล้วเสียอีก”
“ดีใจจังที่มาทันอย่างนั้นเหรอ…คะ” ฉันทวนประโยคที่ได้ยินอย่างไม่เชื่อหูนัก พี่กราฟพูดเหมือนรู้ว่าฉันมาทำงานที่นี่
“ครับ…แล้วนี่จะกลับบ้านหรือยัง”
“กลับค่ะกลับ” ต่อให้ไม่อยากกลับฉันก็คงต้องกลับ นั่นเพราะเป้าหมายเอ่ยถามมาซะขนาดนี้แล้วนี่นา แค่ได้ยืนใกล้ๆ พี่เขาทำไมใจฉันมันถึงสั่นขนาดนี้กัน เมื่อไหร่จะชินก็ไม่รู้
“กลับยังไง ให้พี่ไปส่งไหม”
“มะ…ไม่ต้องค่ะ พอดีปายขับรถมา” ถามแบบนี้ก็เข้าทาง งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปฉันจะเลิกขับรถมาที่ทำงานแล้วนั่งรถไฟฟ้ามาแทน เพื่อคิดการใหญ่ให้พี่กราฟไปส่ง สาธุ…ขอให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า...อ๊ากกกก
“อ้อ…งั้นไปครับ พี่เดินไปส่งที่รถ”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันหุบยิ้มไม่ได้เลยจริงๆ ไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก จะว่าไปพี่กราฟเรียนจบมาก็ปีหนึ่งเข้าไปแล้ว ไม่คิดว่าพี่เขาจะยังคงเป็นกันเองกับฉัน เป็นรุ่นพี่ที่น่ารักในมหาวิทยาลัยยังไง ตอนนี้ก็ยังน่ารักไม่เปลี่ยน
ฉันมัวแต่คิดเรื่องนี้สลับกับแอบมองพี่กราฟเป็นระยะๆ มารู้ตัวอีกทีก็เดินมาถึงรถเสียแล้ว จังหวะที่จะร่ำลาฉันก็เลือกที่จะถามในสิ่งที่สงสัย
“เอ่อ…ที่พี่กราฟพูดว่าดีใจจังที่มาทัน พี่กราฟรู้ด้วยเหรอคะว่าปายมาทำงานที่นี่” ฉันถามไปด้วยใจที่เต้นรัว นั่นเพราะคิดมโนไปไกลลิ่วกับประโยคนี้
“รู้ครับ”
“รู้ได้ยังไง” ใบหน้าของฉันร้อนผ่าวๆ ขึ้นมาทันที ยิ่งเห็นว่าพี่กราฟกำลังยิ้มฉันก็ยิ่งเขิน
“ก็มีเอกสารให้ฝ่ายไอทีไปติดตั้งคอมพิวเตอร์สำหรับพนักงานใหม่ ในนั้นมีชื่อปายอยู่ด้วย พี่ก็เลยรู้”
“อ้อ…อย่างนี้นี่เอง” ถึงจะรู้ที่มาที่ไปแต่ฉันก็ยังมโนเข้าข้างตัวเอง เพราะถ้าไม่สนใจ พี่กราฟคงไม่จำชื่อฉันรวมทั้งนามสกุลได้หรอก…จริงไหม
“แต่พี่ดีใจจริงๆ นะที่เจอปายที่นี่”
“ปายก็ดีใจค่ะ ไม่คิดว่าจะได้มาเจอพี่กราฟที่นี่เหมือนกัน” ฉันยิ้มให้พี่เขา แกล้งเนียนทำเป็นไม่รู้มาก่อนว่าพี่เขาทำงานที่นี่ ทั้งๆ ที่ฉันมาทำงานที่นี่ก็เพราะคนตรงหน้าแท้ๆ
“ขับรถกลับบ้านดีๆ นะครับ”
“พี่กราฟก็ขับรถกลับบ้านดีๆ นะคะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
“ครับ” น้ำเสียง สีหน้าที่เอ่ยรับทำเอาหัวใจดวงน้อยของฉันยิ่งเต้นโครมคราม ก่อนที่จะเสียจริตไปมากกว่านี้ฉันจึงพาตัวเองเข้ารถ โบกมือลา จากนั้นก็ขับออกไปจากลานจอดรถของบริษัทที่เวลานี้ค่อนข้างมืด แถมยังมีรถจอดอยู่แค่ไม่กี่คันเท่านั้นเอง
“กรี๊ดดดด!!! พี่กราฟ กรี๊ดดดดด!!!” ฉันกรี๊ดในรถเหมือนคนบ้าไม่มีผิด ก่อนจะมองกระจกมองหลังซึ่งเห็นว่าตอนนี้พี่กราฟยังยืนอยู่ที่เดิม แถมยังโบกมือให้ฉันอีกต่างหาก พี่เขาคือสุภาพบุรุษ คือชายในฝันที่แท้จริง ผู้ชายแบบนี้นี่แหละคู่ควรแก่การเป็นลูกเขยตระกูลบุตราภา
เพราะมีความสุขระดับล้านที่ได้มาเจอผู้ชายที่แอบชอบมานาน ส่งผลให้ฉันหน้าบานเป็นจานดาวเทียมก็ว่าได้ ก็คนมันมีความสุขให้ทำไง ถ้าถามว่าเพราะอะไรฉันถึงชอบพี่กราฟ เอาเข้าจริงๆ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าชอบพี่เขามาตลอด ชอบอยู่เงียบๆ แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ (ออกแนวเพลงคุกกี้เสี่ยงทายเบาๆ) จนกระทั่งตัดสินใจมาทำงานที่นี่เพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดก่อนจะไปเรียนต่อ ระหว่างนี้ถ้ามีโอกาสได้สารภาพรักพี่เขาสักครั้งฉันก็จะทำ
การทำงานวันแรกก็สนุกไปอีกแบบ หวังว่าวันต่อๆ ไปจะสนุกมากกว่านี้ แต๊…ความคิดทุกอย่างก็มีอันต้องหยุดลงปั๊บ เมื่อได้ยินเสียงโครม
ที่มาของเสียงโครมที่ดังขึ้นเมื่อครู่ คือฉันขับรถไปเสยท้ายรถคันหน้าที่จอดติดไฟแดง ค่ะ…ฉันยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว เพราะมัวแต่เหม่อจนไม่ทันระวังแบบนี้ ดีแค่ไหนที่ไม่ขับรถชนใครเข้า ไม่งั้นฉันคงมีตราบาปเรื่องนี้ติดตัวไปตลอดชีวิตเป็นแน่
พอตั้งสติได้ ฉันก็รีบลงไปขอโทษขอโพยคู่กรณีเป็นการใหญ่ แต่มนุษย์ป้าอายุเลยห้าสิบกลับโวยวายไม่ยอมรับคำขอโทษจากฉันท่าเดียว แม้จะยกมือไหว้แล้วก็ตาม ป้าแกบอกแต่จะเรียกตำรวจ จะเรียกร้องค่าเสียหายให้ถึงที่สุด ทั้งๆ ที่รถแกก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายรวมทั้งตัวแกเองก็ด้วย
เนื่องจากฉันผิดเต็มประตูจึงได้แต่ยอมรับผิด ก่อนจะโทรศัพท์เรียกประกันมาเคลียร์เรื่องนี้ ในระหว่างนี้ป้าคู่กรณีก็ยังเล่นใหญ่โวยวายต่อเนื่อง กระทั่งมีพี่ใจดีคนหนึ่งเดินเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้นและช่วยเคลียร์ให้ก่อนที่ตำรวจจะมา แต่มนุษย์ป้าก็ยังคงมึนไม่ทำอะไรทั้งนั้น
“ใจเย็นๆ นะน้อง”
“ค่ะพี่” ฉันเอ่ยรับให้พี่ใจดีที่เข้ามาช่วย ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ กระทั่งเจ้าหน้าที่ประกันของฉันมาก็เข้าไปคุยกับคู่กรณีที่ตอนนี้ก็ยังโวยวายน้ำไหลไฟดับ จนฉันรู้สึกคอแห้งแทนแกเหลือเกิน
“เฮ้อ!” เสียงถอนหายใจดังมาจากฉันเฮือกใหญ่ ตอนนี้ตำรวจก็มาแล้ว แต่ที่ยังไม่มาคือเจ้าหน้าที่ประกันของมนุษย์ป้า ซึ่งกว่าป้าจะยอมทำตามที่ตำรวจแนะนำก็พูดแล้วพูดอีก
