บทที่ 3
‘เภตรา บุตราภา’ ชื่อนี้ดังก้องอยู่ในหัวของผม นั่นเพราะปายคือน้องสาวของเพื่อนสนิทที่ผมนั้นสนิทกับพี่ชายของปายมาก ส่วนตัวปายนั้นแค่เห็นผมก็วิ่งหลบไปอยู่อีกมุม เป็นมาแบบนี้ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกันจนกระทั่งถึงตอนนี้ น้อยครั้งที่เราจะได้คุยกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับปาย เพราะพี่ชายเธอขยันพูดถึงน้องสาวให้ฟังเสียเหลือเกิน
อันที่จริงผมรู้เรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภายในองค์กรเข้ามาแจ้งว่าได้รับพนักงานคนใหม่เพื่อทดแทนคนเก่าที่ขอลาออกเพื่อจะไปแต่งงาน พร้อมกับให้ผมเซ็นสัญญาจ้างนั่นแล้ว แค่ไม่คิดว่าเธอจะมาทำงานจริงๆ รวมทั้งเกิดความสงสัยว่าทำไมปายถึงเลือกจะมาทำงานที่บริษัทผมมากกว่าบริษัทของครอบครัวเธอเอง ไหนจะบริษัทอื่นมีเป็นร้อยๆ แห่งอีก
ความสงสัยทำให้ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดไปหาจิณณ์ เพื่อนสนิทหรือก็คือพี่ชายของปายนั่นเอง รอสายไม่นานก็ได้ยินเสียงตอบรับ
“ว่าไงครับบอส” ประโยคทักทายของปลายสายทำให้ผมอยากกดวางหูเสียจริงๆ นี่ถ้าไม่ติดว่ามีเรื่องอยากรู้ละก็…หืม
“พูดแบบนี้อยากมาเลี้ยงเหล้าข้าใช่ไหม”
“เปล่าโว้ย ตำรวจกิ๊กก๊อกอย่างข้าจะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงผู้บริหารที่ธุรกิจกำลังรุ่งแบบเอ็ง” คำพูดที่ได้ยินทำเอาผมส่ายหน้าให้ ตำรวจยศร้อยตำรวจเอกหรือกิ๊กก๊อก แม้เงินเดือนอาจน้อยนิด แต่คนแบบจิณณ์ก็แทบไม่ง้อเงินเดือนตำรวจที่ว่านั่นอยู่แล้ว เพราะนอกจากงานในเครื่องแบบ เพื่อนคนนี้ของเขายังเป็นนักเล่นหุ้นฝีมือเยี่ยม ทำกำไรได้ปีละหลายล้าน แต่ที่ยังไม่ยอมลาออกจากอาชีพตำรวจ เพราะยังสนุกกับงานที่ทำอยู่ต่างหาก
“เออ…พอๆ” เพราะขี้เกียจจะเถียงด้วย ผมจึงเอ่ยออกไปแบบนั้น
“เอ็งโทร.หาข้ามีอะไรให้รับใช้”
“ไม่มี แค่อยากถามอะไรเอ็งนิดหน่อย”
“อะไร” น้ำเสียงที่จิณณ์ถามมานั้นฟังดูห้วนขึ้นจนผมขำ นี่คงคิดว่าผมจะปรึกษาเรื่องซีเรียสๆ อีกแน่ๆ ถึงตั้งรับให้สมกับที่เป็นตำรวจมาแรงอนาคตไกลแห่งยุคไทยแลนด์ 4.0
“เอ็งรู้หรือยังว่าปายไปทำงาน”
“รู้…น้องมาขอข้าเอง ทำไมเหรอ”
“นั่นสิ ทำไม”
“เอ้า! ข้าไม่ได้ถามถึงน้องสาวข้าว่าทำไม ข้าหมายถึงเอ็งน่ะ ถามทำไม”
“แล้วเอ็งรู้ไหมว่าปายไปทำงานที่บริษัทไหน” แทนที่จะตอบคำถามที่ได้ยิน ผมกลับตั้งคำถามใหม่ขึ้นมาถามจิณณ์อีกประโยค
“ไม่รู้ ถามแล้วแต่ไม่ยอมบอก”
“บริษัทข้า” ผมเฉลยให้ ไม่ถึงวินาทีหูผมก็แทบแตกเมื่อจิณณ์ตะคอกกลับมาอย่างแปลกใจ
“บริษัทเอ็ง”
“เออ…ไม่รู้ล่ะสิ”
“ไม่เลย”
“ก็นึกว่าปายบอกเอ็งแล้ว”
“ข้ารู้แค่ว่าจะไปทำงาน แต่ที่ไม่รู้คือน้องข้าจะไปทำงานที่บริษัทเอ็งนี่แหละ เพราะอะไรถึงต้องเป็นบริษัทเอ็งด้วยวะ ทั้งๆ ที่หาทางเลี่ยงเอ็งจะตายไป” ผมเองก็สงสัยเหมือนที่จิณณ์มันสงสัยนั่นแหละครับ ถึงได้โทร.มาถาม แต่ดูท่าจะเปล่าประโยชน์เสียแล้วกระมัง
“นั่นแหละที่ข้าสงสัย ก็ไหนเอ็งบอกว่าช่วงนี้ปายกำลังทำเรื่องเพื่อจะไปเรียนต่อนอกไม่ใช่เหรอ”
“ใช่…แต่ระหว่างนี้ปายก็เข้ามาขอไปทำงาน บอกว่าอยากหาประสบการณ์นั่นนี่ ข้าเลยอนุญาตไป แต่ไม่คิดว่าจะโผล่ไปที่บริษัทเอ็งแบบนี้ แต่เอาน่ะ แค่สามเดือนเอ็งก็ทนๆ น้องข้าหน่อยแล้วกัน”
“ทนอะไร น้องเอ็งไม่ใช่ตัวปัญหาสักหน่อย” ผมพูดเรื่องจริง เพราะปายไม่ใช่ตัวปัญหาสำหรับผมเลย อันที่จริงผมอยากสนิทกับเธอมากกว่าที่เป็นอยู่ด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนเธอจะบ่ายเบี่ยงตลอด
“ก็นั่นแหละ ข้าพูดเผื่อไว้ ระหว่างนี้เอ็งก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำเป็นมองไม่เห็นน้องข้าแล้วกัน เพราะปายกลัวเอ็งจะตายไป”
“นั่นสิ ข้าจะถามอยู่เหมือนกันว่าน้องสาวเอ็งกลัวอะไรข้านักหนา เจอกันแต่ละทีก็ถามคำตอบคำ พลอยทำข้าเกร็งไปด้วย” นี่คือคำตอบที่ผมเองก็อยากรู้เช่นกันว่าไปทำอะไรให้ ปายถึงได้กลัวผมไม่เลิกเสียที
“ก็เอ็งมันดุยังกับหมานี่หว่า”
“ข้านี่เหรอดุยังกับหมา” ฟังแล้วผมก็งง นั่นเพราะมั่นใจว่าผมไม่ใช่คนดุอะไรขนาดนั้น แถมถึงขั้นดุอย่างกับหมาเชียวเหรอ เวอร์ไปแล้ว
“เออ”
“ดุยังไงวะ ไหนเล่ามาซิ”
“ดุทุกเรื่องที่เอ็งไม่ชอบนั่นล่ะ ไล่มาตั้งแต่เรื่องงานยันเรื่องส่วนตัว” คำพูดของจิณณ์ทำให้ผมขมวดคิ้ว คิดทบทวนว่าผมเป็นอย่างที่เพื่อนบอกจริงๆ หรือมันต้องการแค่อำเล่น
“เรื่องงานข้าต้องดุต้องเข้มงวดสิ ขืนลูกค้าได้งานแย่ๆ ไป บริษัทก็เสียหายใครจะรับผิดชอบ ส่วนเรื่องส่วนตัวนี่ข้าดุยังไง…หืม” ใช่…อย่างหลังนี่แหละที่ผมอยากรู้ว่าผมดุยังไง
“สรุปเอ็งไม่รู้ตัว”
“เออ” ผมยอมรับ เพราะอยากฟังมุมมองที่ว่าผมนั้นดุจากจิณณ์
“มาๆ ข้าจะยกตัวอย่างให้ฟัง ข้อแรก เอ็งไม่ชอบผู้หญิงใส่กางเกงขาสั้น จำได้ไหมวันแรกที่เอ็งเจอน้องข้า ปายมันอยู่บ้านเลยใส่กางเกงขาสั้น จู่ๆ เอ็งก็เดินเข้าไปดุแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจนทำเอาน้องข้าร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
“ก็กางเกงตัวที่น้องเอ็งใส่มันสั้นจริงๆ นี่หว่า”
“สั้นกับผีของเอ็งน่ะสิ น้องข้าใส่ยาวถึงหัวเข่านะเว้ยไม่ใช่สั้นเสมอหูเหมือนที่ผู้หญิงสมัยนี้เขาใส่กัน จู่ๆ คนไม่เคยรู้จักเดินเข้าไปดุ เป็นเอ็งเอ็งจะกลัวไหม”
“ก็ข้าหวังดี” ผมรับเสียงอ่อยๆ นั่นเพราะสิ่งที่ทำไปคือความหวังดีล้วนๆ
“ความหวังดีของเอ็งนั่นแหละคือต้นกำเนิดความกลัวที่น้องข้ามีให้ เขาเรียกไม่ประทับใจตั้งแต่แรกพบ พอไม่ประทับใจเลยจงใจเลี่ยงไม่คุยด้วย”
“แต่มันก็ผ่านมานานแล้วนะ น้องเอ็งน่าจะลืมๆ มันไปได้แล้ว”
“เหรอ! พูดยังกับไม่รู้ตัวว่าเอ็งมันพวกดุต่อเนื่อง เป็นแบบนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เอ็งเข้าไปบ้านข้าจนถึงตอนนี้จะสิบปีเข้าไปแล้ว เอ็งก็ยังไม่เลิกดุเลิกบ่นน้องข้าอีก”
“เอ็งก็พูดเกินไป”
“ไม่มีอะไรเกินไปเลยสักนิด หรือเก็บกดอยากมีน้องสาวเป็นของตัวเองฮะ”
“เปล่า” ผมปฏิเสธไม่ค่อยเต็มเสียงสักเท่าไหร่ เพราะมันคือความจริงที่ผมได้ทำมาตลอดหลายปี มาคิดๆ ดูผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้เจ้ากี้เจ้าการน้องสาวของจิณณ์มากมายขนาดนั้น
“นี่ขนาดเปล่า น้องข้ากลับบ้านเย็นหน่อยเอ็งก็บ่น น้องข้าไม่กินผักเอ็งก็ดุ น้องข้าไม่ยอมให้ไปรับตอนข้าต้องไปทำงานต่างจังหวัดเอ็งก็บ่นเป็นหมีกินผึ้ง เจอแบบนี้ตลอดปายไม่เอาไม้ตีหัวเอ็งก็บุญเท่าไหร่แล้ว”
“ก็พี่ชายแบบเอ็งไม่ดุน้องเลยนี่หว่า เห็นตามใจหมดทุกอย่าง” ผมโบ้ยไปยังปลายสายทันที
“นั่นเพราะข้าเชื่อใจว่าน้องไม่ทำตัวเหลวไหลแน่นอน”
“เชื่อใจ เห็นใช้ได้กับน้องเอ็งคนเดียวหรอก เพราะถ้าเอ็งเอาคตินี้ไปใช้กับสาวๆ เมื่อไหร่ สาวๆ เหล่านั้นเปิดเรดาร์หากิ๊กทันทีไม่ใช่เหรอ”
“ปากเสีย จู่ๆ วกมาแขวะข้าทำไมเนี่ย เดี๋ยวจะโดนข้อหาแจ้งความเท็จ” การปฏิเสธโดยยกข้ออ้างเรื่องกฎหมายของจิณณ์มาพูดขำๆ นั้นทำเอาผมส่ายหน้าให้ แต่ที่ผมพูดไปนั่นมันคือความจริงล้วนๆ
“สรุปเอ็งจะยอมรับไหมว่าดุฮะ”
“เออ…ยอมก็ยอม”
“ดีมาก พอรู้ตัวแล้วหลังจากนี้เอ็งก็ลองลดความดุลง ทั้งหน้าตาทั้งน้ำเสียง”
“ทำไม่เป็น”
“ไอ้นี่…อยู่ใกล้มันน่าโดนถีบ ลองแกล้งเมาแห้งดูสิโว้ย เพราะเวลาเอ็งเมาทีไรเห็นเฟรนลี่ทุกที คุยได้ตั้งแต่กับคนยันสัตว์”
“นี่เอ็งชมหรือด่าข้า”
