ตอนที่7.ชิงช้า
กันอี๋หยุดชิงช้าและยื่นมือไปประคองซิ่นฮวาลงจากมา หญิงสาวหันมาส่งยิ้มกว้าง นางไม่เคยหวงรอยยิ้ม ไม่ว่ากับผู้ใดนางมักยิ้มให้เสมอ กันอี๋เผลอขวมดคิ้ว นางกับซิ่นหลิงเกิดพร้อมกัน เป็นฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันมาก ยามเด็กเขาเองเคยจำซิ่นหลิงกับซิ่นฮวาสลับคนกัน แต่เพียงห้าปีที่เดินทางจากมา เวลานี้ซิ่นหลิงสูงใหญ่เป็นบุรุษที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายนักรบ ทว่าซิ่นฮวากลับเป็นหญิงสาวที่รูปร่างบอบบาง เวลานี้ทั้งสองไม่เหมือนฝาแฝดกันเลยสักนิด ความสูงของนางแค่ปลายคางของเขาเอง และนั้นทำให้เขาได้กลิ่นหอมจากเรือนผมของนาง
“ขอบใจนะ”
“อะ..อืม” กันอี๋พยายามปรับสีหน้าตนเอง เขาเห็นนางเป็นน้องสาว แม้จะไม่เรียกว่าน้องก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมา มารดาของเขามักพร่ำบอกถึงฐานะที่แตกต่างของเขากับนาง วันนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไม
เห็นนหญิงสาวหมุนตัวเดินออกไป เขาอยากอาสาเดินไปส่งแต่กลับกัดริมฝีปากของตน มองแผ่นหลังของหญิงสาวเดินไปพร้อมกับปี้เอ๋อร์ นิสัยซุกซนของซิ่นฮวา มีเพียงปี้เอ๋อร์หญิงรับใช้ของพระชายาหนิงเหมยที่กล้าห้ามปรามซิ่นฮวา นางจึงไม่มีหญิงรับใช้มากมายเช่นบุตรสาวตระกูลใหญ่ เพราะต่อให้มีมากเพียงใดก็ไม่อาจรับมือท่านหญิงผู้ซุกซนคนนี้ได้
“จะทำอะไรก็รีบๆ เถิด นางงดงามเช่นนี้ ใครก็ต่างหมายเด็ดดอมดอกไม้งาม” ซาโม่พูดเหมือนกระซิบข้างกันอี๋ ไม่ได้หันมามองอีกฝ่าย แต่เดินแยกกลับไปเรือนพักของตัวเอง บิดามารดาเป็นคนสนิทของท่านอ๋อง ท่านอ๋องจึงประทานเรือนพักให้ไว้เป็นการส่วนตัว รวมทั้งชากกีและจื่อเหยี่ยนด้วย
ซิ่นหลิงเดินแยกไปเรือนของตน แม้กลับมากะทันหันแต่เรือนของเขาสะอาดสะอ้านราวกับมีคนอาศัยอยู่ตลอดเวลา นานหลายปีที่ต้องฝึกฝนตนเองในป่าเขา ท่ามกลางความหนาวเหน็บของฤดูกาลและความร้อนแรงของแดดกล้า ไม่ได้หลับนอนบนฟูกนุ่มนานเพียงใดแล้วหนอ ชายหนุ่มรำพึงกับตนเอง หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เขาหยิบตำราขึ้นหวังจะอ่านก่อนนอนสักนิดหน่อยก่อนเข้านอน แต่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวที่นอกหน้าต่าง ดวงตาคมหรี่มองอย่างระวัง
“หลิงเอ๋อร์! เจ้ารีบเปิดหน้าต่างเดี๋ยวนี้นะ”
เสียงของซิ่นฮวาร้องเรียกอยู่ด้านนอกทำให้เขารีบโยนหนังสือไว้ที่โต๊ะ ก้าวยาวๆ ไปเปิดหน้าต่าง เห็นน้องสาวฝาแฝดของตนแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว แต่ช่วยประคองให้นางปีนเข้ามาในห้องของเขา
“เจ้าเข้ามาทำอะไรอีก” บ่นทั้งที่หัวเราะ นางไม่มีพรสวรค์ด้านการฝึกยุทธเลยสักนิด ที่เอาตัวรอดได้นี่มันวิชาวานรชัดๆ เรื่องปีนป่ายต้นไม้นี่เป็นความคิดของนางทั้งนั้น
“ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าช่วย” นางอยากพูดคุยกับเขาตั้งแต่อยู่ในสวนกระจ่างใจ แต่คนเยอะเกินไปนางไม่กล้าปริปากขอร้อง
“ข้าเพิ่งกลับมา เจ้าก็จะใช้งานข้าเลยรึ” ซิ่นหลิงส่ายหน้าไปมา “ว่ามาซิ”
“คือ...หลังเสร็จพิธีบวงสรวงก็จะถึงวันเกิดของข้า”
“ของข้าด้วย” ซิ่นหลิงพูดเติมให้ นางลืมไปหรือไรว่าเขาและนางเกิดวันเดือนเดียวกัน
“ก็นั่นแหละ ปีนี้ข้าสิบเจ็ดแล้ว”
“ใช่ ข้าก็อายุสิบเจ็ดเท่าเจ้านั่นแหละ?”
“คือ...” นางอ้ำอึ้ง ใบหน้าหวานแดงระเรื่อขึ้นมา “ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วย”
“ช่วยสิ่งใด?” คนปากเก่งอย่างนางนี่ ยามนี้ทำไมพูดจาวกวนนัก เขาบ่นในใจพลางรินน้ำชาให้ตัวเอง แล้วยกขึ้นดื่ม
“ช่วยพาข้าไปหอนางโลมหน่อยสิ”
พรวด!
“ตายจริง ไยเจ้าพ่นน้ำชาเป็นเด็กอย่างนี้ล่ะ” ซิ่นฮวาหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนส่งให้อีกฝ่ายรับมาซับมุมปาก
“เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
“เจ้าได้ยินชัดแล้วไม่ต้องถามซ้ำหรอก” นางเบ้ปาก “ตกลงจะช่วยหรือไม่”
“เหตุใดเจ้าอยากไปหอนางโลม”
“ข้า...” นางกลอกตาไปมาก่อนพูดเสียงเบา “ข้าอยากรู้ว่าระหว่างชายหญิง ‘มีอะไร’ กันอย่างไร” หากมารดามาได้ยินเข้า เห็นทีคงถึงขั้นเป็นลมล้มพับเป็นแน่
