ตอนที่29. ช่างน่าควักลูกตาออกมาเสียจริง!
ซิ่นฮวากลอกตาไปทางบิดา โดยปกติบิดาห่วงและหวงนางมากนัก การที่ยังนั่งนิ่งไม่เอ่ยปากห้ามปรามย่อมแสดงให้เห็นว่า บิดาคงไตร่ตรองเรื่องนี้มาแล้ว เพียงแค่นางต้องตัดสินใจด้วยตนเอง หญิงสาวย้ายสายตามาที่บุรุษเบื้องหน้าอีกครั้ง แม้เขายังคงนั่งด้วยท่วงท่างามสง่า ทว่าแววตาที่มองนางอยู่นั้น ช่างน่าควักลูกตาออกมาเสียจริง!
“หากท่านหญิงต้องการเวลาไตร่ตรอง พวกเราก็ยินดีรอคอยคำตอบนั้น” ซ่งเหว่ยหนานทำลายความอึดอัดที่เกิดขึ้น มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยคล้ายยิ้มและไม่ยิ้ม “ระหว่างรอคำตอบนี้ ข้าน้อยหวังใจว่าท่านหญิงจะเมตตาพาชมสวนของที่นี่ บ้านเกิดที่จากมาแห้งแล้งจนแทบไม่เห็นสีเขียวสดใสเช่นนี้นานแล้ว ช่างน่าอิจฉาตุนหวงที่แม้จะถูกโอบล้อมด้วยทะเลทรายก็ไม่ขาดแคลนน้ำ”
ซิ่นฮวาสูดลมหายใจลึก นางมิได้ก้าวเท้าออกจากตุนหวง แต่มิได้หมายความว่านางจะ ‘ไม่รู้อะไร’ เลย นางปรับสีหน้าให้ดูสุขุมไม่หวั่นไหวกับดวงตาแฝงความยียวนคู่นั้น
“เช่นนั้นก็เชิญทางนี้” นางเอ่ยราบเรียบ ท่าทางหยิ่งยโสจนซิ่นหลิงนึกประหลาดใจ แต่เขาไม่ได้อยู่ที่ตุนหวงนานห้าปี ตัวเขาเองยังเปลี่ยนแปลงตัวเอง นางเองคงไม่ต่างกัน เพียงแต่ปกติเห็นนางยิ้มแย้มอยู่เสมอแต่ครั้งนี้ไยทำสีหน้าบึ้งตึงราวกับเจอคู่ปรับอย่างไรไม่รู้
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกขอพาแขกของเราเดินชมสวนกระจ่างใจนะเพคะ” นางลุกขึ้นยืนแล้วก้าวนำออกมาอย่างรวดเร็ว ซ่งเหว่ยหนานลุกขึ้นตามค้อมกายให้ท่านอ๋องและพระชายาก่อนก้าวเท้าตามแผ่นหลังที่เดินห่างไปหลายก้าวแล้ว แต่กระนั้นก็ยังทิ้งสายตาสั่งห้ามมิให้คนของตนเดินตามไปด้วย
ซิ่นฮวาเดินมาเพียงลำพัง นางสั่งห้ามมิให้หญิงรับใช้ติดตามมา แม้แต่น้าจื่อเหยี่ยนก็ตาม ด้วยนิสัยเอาแต่ใจของนางทำให้ไม่มีใครกล้าขัด แม้รู้ว่าไม่เหมาะสมที่จะให้ท่านหญิงน้อยอยู่กับบุรุษแปลกหน้าตามลำพัง หญิงรับใช้จึงได้แต่ยืนรออยู่ห่างๆ
“อยากดูอะไรก็ดูสิ!” นางกระแทกเสียงพูดอย่างสนใจว่าคนฟังจะคิดอย่างไร “สวนกระจ่างใจนี้เป็นที่โปรดปรานของท่านแม่มาก ท่านลงมือปลูกต้นไม้ดอกไม้ด้วยตนเอง”
ซ่งเหว่ยหนานอมยิ้มเมื่อไม่มีผู้อื่นแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทมากนัก ชายหนุ่มยกมือกอดอกแล้วโน้มหน้าลงจ้องมองใบหน้างดงามใกล้ๆ ซิ่นฮวาตกใจกับการกระทำของเขา เผลอก้าวเท้าถอยหนีอย่าลืมตัว ทำให้ซ่งเหว่ยหนานหัวเราะในลำคอ
“เจ้า!”
“ท่านหญิงพูดเองว่า ‘อยากดูอะไรก็ดู’ ข้าอยากดูใบหน้าของท่านหญิงให้ชัดๆ ว่าใช่สตรีที่สวมอาภรณ์บุรุษที่ข้าพบที่หอนางโลมหรือไม่”
ซิ่นฮวาถลึงตาใส่ กระนั้นใบหน้างามแดงระเรื่อด้วยความโกรธ ใครเลยจะคิดว่าชายที่ปล้นจุมพิตและทำหยาบคายกับนางเป็นคนเดียวกับชายหนุ่มตรงหน้านี้ได้
“เจ้าจำข้าได้แต่ที่ข้าก้าวเท้าเข้าไปแล้วกระมัง” นางใช้โทสะมาข่มความอับอายที่ล้นปรี่ ผิวกายของนางราวกับถูกย้อมด้วยสีแดงจัดไปทั้งตัวแล้ว
“มิได้” เขายังคงยิ้มเยาะนางอย่างเปิดเผย นึกถึงปากนุ่มและรสหวานละมุนที่ทำให้ปั่นป่วนจิตใจอย่างไม่เคยเป็นกับหญิงใดมาก่อนแล้วอดยิ้มไม่ได้
นางเอียงคอมองเขา สีหน้าเขายามที่พบนางในห้องรับรองนั้น แม้เรียบเฉยแต่แววตาของเขาช่างเปิดเผยนัก!
“ข้าจำท่านหญิงได้ตั้งแต่อยู่บนปะรำพิธีแล้ว”
“เจ้า!” ซิ่นฮวากระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครกล้าโต้เถียงกวนโทสะนางเช่นนี้มาก่อน
“ข้าซ่งเหว่ยหนาน ท่านหญิงโปรดจำชื่อข้าให้แม่นยำด้วย” เขาไม่มีท่าทีสะทกสะท้านกับกิริยาของนาง แน่นอนว่าเขาเคยพบหญิงสาวเอาแต่ใจตนเองมาไม่น้อย ทว่ากิริยาที่นางแสดงออกมา ช่างเปิดเผยตรงไปตรงมา และทำให้ใบหน้างามนั้นยิ่งน่ามองขึ้นไปอีก “หรือจะเรียกพี่เหว่ยหนานก็ได้”
“ข้าไม่ได้อยากสนิทสนมกับเจ้า!”
“แต่ข้าอยากสนิทสนมกับท่านหญิงมาก โดยเฉพาะ...” เขาเว้นคำพูดที่ชวนให้คิดไปไกล ใช้สายตาจ้องมองริมฝีปากของนางแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเอง คนตัวเล็กที่หน้าแดงอยู่ยามนี้ไม่รู้ว่าโกรธหรืออายมากกว่ากันแน่
