ตอนที่7. เป็นอะไรหรือเปล่า
สำหรับกาสะลองแล้วเป็นเรื่องปกติ คุณเพลินตาจะออกไปดูดวงกับเพื่อนบ้านเดือนละสองหรือสามครั้ง แต่ที่เธอไม่เคยห้ามเพราะคุณเพลินตาแค่ดูดวงหรือโชคชะตา ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีให้น่าเป็นกังวลรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดูดวงแต่ละครั้ง ก็ไม่มากนัก ถ้าถูกหมอดูทักว่าดวงไม่ดี ก็จะไปทำบุญที่วัดมากกว่าไปสะเดาะเคราะห์ด้วยวิธีต่างๆ ตามที่บรรดาหมอดูแนะนำ
“จนป่านนี้แม่ยังไม่เลิกสนใจเรื่องพวกนี้อีก” ลวิตรบ่นเมื่อทั้งสองคนช่วยกันเปิดร้าน ‘หวานใจ’ เรียบร้อยแล้ว
“แม่ก็ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีนี่คะ” กาสะลองหัวเราะน้อยๆ ร้านยังว่างไม่มีลูกค้าเธอจึงหยิบตะกร้าใส่อุปกรณ์เย็บผ้าออกมานั่งเย็บตุ๊กตาผ้า ลวิตรมองอย่างสนใจแล้วเดินไปนั่งใกล้ๆ ชะโงกหน้าดู
“อะไรจะขยันขนาดนี้” ลวิตรอดแซวไม่ได้
“ไม่ได้ขยันซะหน่อย” กาสะลองยิ้มเขินๆ “หัดทำจากในอินเตอร์เนทค่ะ ว่าจะทำบริจาคบ้านเด็กกำพร้า”
ลวิตรยิ้มให้ความอ่อนโยนของน้องสาวคนนี้
“จริงๆ งานพี่ก็เข้าที่เข้าทางแล้ว พี่เลี้ยงดูปีปกับแม่ได้ไม่ต้องทำงานแบบนี้หรอก”
“พี่ลวิตร” กาสะลองถอนหายใจเบาๆ
“สำหรับปีปแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของปีปค่ะ เด็กกำพร้าอย่างปีป มีคนมารับอุปการะก็เป็นเรื่องโชคดีแล้ว นี่ยังได้ทำความฝันของตัวเองอีก มีร้านเบเกอรี่เล็กๆ มีรายได้พอเลี้ยงดูตัวเอง แค่นี้มันก็โชคดีที่สุดแล้ว ที่ผ่านมาปีปเคยแต่เป็นผู้รับมาตลอด ตอนนี้ปีปก็พร้อมแล้วขอเป็นผู้ให้บ้างนะคะ”
ลวิตรเอื้อมมือมาแตะหลังมือของกาสะลองเบาๆ “พี่ต่างหากที่ต้องขอบใจปีป เพราะปีปเข้ามาทำให้แม่เลิกร้องไห้ฟูมฟายเพราะพ่อมี...เมียน้อย”
กาสะลองยิ้มให้พี่ชายอย่างให้กำลังใจ แต่แล้วเธอก็หาวออกมาจนน้ำตาไหล ลวิตรหัวเราะออกมาแล้วดีดนิ้วใส่หน้าผากน้องสาว
“ทำเหมือนพวกเที่ยวกลางคืนอดนอนงั้นแหนะ”
“นั้นนะซิค่ะ” กาสะลองทำหน้าหม่น “ทั้งที่ไม่ได้ออกไปไหนแต่ทำตื่นมาทีไหร่เพลียทุกทีเลย”
ลวิตรชักสีหน้าแต่พยายามยิ้มกลบเกลือน “เป็นนานหรือยังละ”
“มันก็เป็นบ่อยแหละค่ะ แต่แค่ช่วงนี้เหมือนจะเพลียมากเป็นพิเศษ”
“ไปหาหมอไหม” เขาถามทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ
“ไม่เอาหรอก” กาสะลองส่ายหน้าไปมา “พี่ลวิตรก็รู้ว่าปีปกลัวหมอ”
ลวิตรหัวเราะออกมา โยกศีรษะของกาสะลองเล่นเหมือนที่ครั้ง
ยังเป็นเด็ก ครู่หนึ่งก็มีเสียงเปิดประตูเข้ามา เด็กสาวร่างเล็กตัดผมสั้นน่ารักโผล่หน้าเข้ามาด้วยท่าทางเขินๆ
“พี่กาสะลองอยู่ไหมคะ”
“พี่เองค่ะ”กาสะลองยิ้มรับแล้วก็ทำหน้าตื่นเต้น “น้องฟ้าใสหรือเปล่าคะ”
“ใช่ค่ะ” หญิงสาวก้าวเข้ามายืนเต็มตัว “หนูชื่อฟ้าใสค่ะ คุณแม่เพ็ญนภาให้หนูมาทำงานกับพี่กาสะลอง”
ลวิตรทำหน้าเหลอหลาแล้วมองน้องสาว กาสะลองเดินไปจับมือเด็กสาวแล้วพามายืนหน้าลวิตร
“คุณแม่เพ็ญนภาที่บ้านละอองฝัน ฝากให้ปีปช่วยดูแลน้องฟ้าใสค่ะ น้องฟ้าใสได้ทุนมาเรียนที่กรุงเทพฯ แล้วขอมาทำงานพิเศษที่ร้านของเรา พี่ลวิตรคงไม่ว่าอะไรนะคะ”
“แม่รู้แล้วใช่ไหม” ลวิตรเอ่ยถาม เมื่อเห็นน้องสาวพยักหน้าก็ถอนหายใจเบาๆ “ถ้าแม่รู้แล้วพี่ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“อ้อ! นี่พี่ลวิตรพี่ชายของพี่จ๊ะ” กาสะลองแนะนำอย่างเพิ่งนึกได้
“หนูฟ้าใสค่ะขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ ร้านของพี่ปีปอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยที่ฟ้าใสเรียนอยู่ ฟ้าเลยมาขอทำงานพิเศษช่วงวันเสาร์อาทิตย์ค่ะ”
“ทำงานด้วยเรียนด้วยจะไหวเหรอ” ลวิตรเอ่ยถามด้วยสีหน้าเย็นชา
“ไหวซิค่ะ เด็กกำพร้าอย่างพวกเราถูกสอนมาให้สู้ชีวิตอยู่แล้ว”ฟ้าใสยิ้มกว้าง “มาค่ะ มีอะไรให้ฟ้าใสทำบ้าง”
“ช่วยพี่ที่หน้าร้านก็แล้วกันนะ แต่เช้านี้แม่เพลินตาไม่อยู่จ๊ะ แต่บ่ายๆ ก็คงกลับแล้วละ”
“ได้เลยค่ะ ใช้งานฟ้าใสเต็มที่ไม่ต้องเกรงใจเลยค่ะ” ฟ้าใสกุลีกุจอช่วยกาสะลองเช็ดโต๊ะในร้าน
กาสะลองยิ้มดีใจที่ได้ช่วยคนที่คล้ายๆ กับเธอ แต่ลวิตรกลับมองแล้วไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก เขารู้สึกว่าในแววตาของเด็กฟ้าใสไม่ได้ใสซื่อ เหมือนเห็นเมฆหมอกของปัญหาขึ้นมาลางๆ
“เดี๋ยวปีปไปดูขนมในเตาก่อนนะคะ” กาสะลองเอ่ยบอกแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในครัว แต่เธอกลับหน้ามืดขึ้นมา โชคดีที่ลวิตรเข้าไปประคองได้ทัน
“ปีป! เป็นอะไรหรือเปล่า!”
