บทที่ 7
ฮูหยินเฒ่าเผยเหมือนกับได้ยินผิดไป
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
นางอดไม่ได้ตลกกับความคิดที่เป็นไปไม่ได้ของหลี่ชิงลั่ว
“เจ้าอยากให้ข้ากลับตระกูลหลี่ไปกับเจ้าหรือ? ยัยหนู เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าอยู่วัดชิงซงมาสามสิบปีแล้ว? ข้าเลิกยุ่งเรื่องทางโลกมานานแล้ว!?”
หลี่ชิงลั่วเงยหน้ามองนาง “เช่นนั้นท่านย่าพอใจเช่นนี้จริงหรือเจ้าคะ? ตอนนั้นเติ้งซื่อเพียงแค่วางแผนเล็กน้อยเท่านั้น ท่านก็ถูกลูกชายทอดทิ้ง ถูกสามีเมินเฉยและถูกทั้งตระกูลหลี่ทรยศ”
“ท่านฆ่าฟันในสนามรบแทบขาดใจ ช่วยชีวิตสามีและสังหารศัตรูและชื่อเสียงความดีความชอบ เกียรติยศความรุ่งโรจน์และทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็ถูกคนอื่นแย่งไปหมด”
“และเพราะนิสัยของท่าน เพราะเบื่อหน่ายกับการต่อสู้แย่งชิง เพราะหยั่งรู้ถึงทางโลกกับความสัมพันธ์ทางสายเลือด กระทั่งความสัมพันธ์สามีภรรยา ดังนั้นก็ถึงยอมจากมาเพียงลำพัง ขีดเส้นแบ่งตนเองอยู่ในโลกแคบๆ ที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ และใช้ชีวิตไปอย่างทุกข์ระทมเช่นนี้ แต่ว่า เพื่ออะไรกันล่ะ?”
“ทุกอย่างนี้สมควรเป็นของท่าน แต่เหตุใดถึงยอมให้คนอื่นเอามันไป?”
“ท่านไม่เอาแต่นั่นก็เป็นของท่าน เกียรติยศ อำนาจและทุกอย่างของตระกูลหลี่ สิทธิ์การเป็นหรือตายล้วนต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของท่าน”
“ถึงแม้ท่านย่าไม่ต้องการ แต่จะปล่อยให้คนที่ท่านไม่ชอบแย่งมันไปไม่ได้ เป็นเช่นนี้ท่านย่ารู้สึกสบายใจแล้วจริงๆหรือ?”
หลี่ชิงลั่วมองฮูหยินเฒ่าเผยด้วยสายตาที่จริงใจ
ฮูหยินเฒ่าเผยก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองหลี่ชิงลั่วเงียบๆ
หลี่ชิงลั่วรู้ว่าตนเองกำลังล้ำเส้น หรือตอนนี้ท่านย่าอาจจะรู้สึกเสียใจมากที่รับตนเองออกมาจากหุบเขา หาคนที่มาชี้นิ้วสั่งในชีวิตของนาง
แต่นี่ก็เป็นโอกาสเดียวของนางแล้ว!
ถ้าไม่สามารถทำให้ท่านย่าหวั่นไหวได้ เช่นนั้นนางก็ยังคงอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ กลับตระกูลหลี่ก็ไม่มีที่พึ่ง ในมือไม่มีทั้งอำนาจและเงินทอง จะทำอะไรก็รอโดนกลั่นแกล้งอยู่ฝ่ายเดียวได้เลย
ฮูหยินเฒ่าเผยไม่พูดอะไร หลี่ชิงลั่วก็พูดต่อไป
“ท่านย่า หลานรู้ว่าหลานล้ำเส้นแล้ว แต่หลานหมดหนทางแล้วจริงๆก็ถึงต้องรบกวนท่านย่า หลานไม่มีที่พึ่งแล้ว ถ้าตอนนี้กลับไปตระกูลหลี่จะต้องไม่เป็นที่โปรดปรานแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินเฒ่าเผยขมวดคิ้วเล็กน้อย ก็ถึงเอ่ยถามว่า “เจ้ากับพี่ชายมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า แต่ยังไม่ได้เจอพ่อแม่แท้ๆของเจ้าเลย เหตุใดถึงพูดจาเช่นนี้ออกมาเล่า?”
หลี่ชิงลั่วยิ้มขมขื่นอย่างเศร้าใจ “ท่านย่า ถึงแม้หลานจะเติบโตมาจากหุบเขา ไม่เคยเจอโลกภายนอกมากนัก แต่ในใจของหลานก็เข้าใจดี หลานได้ยินมาว่า ท่านพ่อกับท่านแม่รับเลี้ยงลูกสาวแท้ๆของตระกูลหลิว”
“ถึงแม้ตระกูลหลี่จะบอกกับภายนอกว่าตอนนั้นได้ลูกสาวฝาแฝด และเพราะว่าข้าร่างกายอ่อนแอจึงต้องฟื้นฟูอยู่ที่เจียงหนาน ตอนนี้สุขภาพแข็งแรงแล้วดังนั้นจึงกลับเข้าเมืองหลวง แต่เห็นได้ชัดว่าท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ได้กล่าวโทษคนตระกูลหลิวหรือหลี่ชิงจูเลย แล้วยังกลัวว่านางจะเดือดร้อนจากข่าวลือ ดังนั้นจึงให้ตัวตนที่มีหน้ามีตาแก่นาง กลายเป็นบุตรสาวคนโตที่แท้จริงของตระกูลหลี่”
“พี่ชายแท้ๆของข้าก็เหมือนกัน นี่ยังไม่ทันได้เจอข้า ก็กระทำกับข้าเฉกเช่นทาสที่หลบหนี ข้าจะคาดหวังอะไรได้อีกเจ้าคะ?”
“พวกเขารักและทะนุถนอมหลี่ชิงจูราวกับแก้วตาดวงใจเช่นนี้ ข้ากลับไปแล้วจะไม่ห่างเหินกับพวกเขาได้อย่างไร?”
“เมื่อต้องเผชิญกับความไม่ยุติธรรม ท่านย่ารู้สึกว่า พวกเขาจะลำเอียงลูกสาวที่เลี้ยงมาด้วยความรักนานถึงสิบหกปี หรือเป็นลูกสาวอย่างข้าที่บังเอิญกลับมากะทันหัน และไม่มีความสัมพันธ์กับพวกเขาเลยสักนิด?”
“ท่านย่า พวกเขาเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจกับสายเลือดมากนัก มิเช่นนั้น ตอนนั้นคงไม่ทำเช่นนั้นกับท่าน”
“สำหรับพวกเขาแล้ว มีเพียงคนที่ได้รับความจริงใจจากพวกเขา ก็ถึงจะยืนหยัดอยู่ในตระกูลหลี่ได้ และความจริงใจของพวกเขานั้นหายากเพียงใด? ไม่ใช่ว่าอยู่ด้วยกันทุกวันแล้วจะได้รับจริงๆ”
ฮูหยินเฒ่าเผยสีหน้าผ่อนคลายลง
นั่นสิ
ตอนนั้นนางไม่เคยได้รับความจริงใจจากลูกชาย ความจริงใจของสามีก็อาจจะเคยได้รับ แต่หลังจากนั้นก็ถูกทอดทิ้งไปอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
ทำให้นางนึกถึงสถานการณ์ที่แท้จริงในตอนนั้นของตนเอง
แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ให้หลี่ชิงลั่วออกไปก่อน ให้นางครุ่นคิดเรื่องนี้ให้ดีเสียก่อน
หลังจากหลี่ชิงลั่วออกไป ฮูหยินเฒ่าเผยก็เรียกแม่นมจางเข้ามา
“นางเข้าใจสถานการณ์ของจวนแม่ทัพขนาดนี้ เจ้าเป็นคนบอกกับนางหรือ?”
แม่นมจาง “บ่าวบอกกับคุณหนูแค่บอกไม่กี่เรื่องของฮูหยินเฒ่าเจ้าค่ะ ทำไมหรือเจ้าคะ? คุณหนูตกใจหรือเจ้าคะ? คุณชายใหญ่ทำเกินไปแล้วจริงๆ”
ฮูหยินเฒ่าเผยมองดูบ่าวที่ติดตามตนเองมาสิบกว่าปี แล้วถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า
“เจ้านี่นะ โง่เสียจริง! เสียแรงที่ใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ โดนยัยหนูนั่นหลอกไม่เป็นท่าเลย?”
ซื่อตรงและไร้เดียงสาอะไรกัน นางว่ายัยหนูนั่นฉลาดเป็นกรดเลยล่ะ!
แต่ว่า อย่างไรแล้วนางก็ไม่ได้เสแสร้งต่อหน้าตนเอง และยังยอมสารภาพกับตนเอง มันเหมือนกับการยอมจำนนมากกว่า
“แม่นม เจ้าว่าถ้าตอนนี้ข้ากลับเมืองจินหลิงจวนแม่ทัพ จะเป็นอย่างไร?”
แม่นมจางตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ฮูหยินเฒ่าเผยเห็นแล้วก็แสยะยิ้ม
เหอะ น่าสนใจจริงๆ
วันที่สอง
หลี่ชิงลั่วไม่รู้ว่าฮูหยินเฒ่าเผยตัดสินใจอย่างไรกันแน่ ดังนั้นนางจึงรู้สึกร้อนรนใจมาก
หลังจากที่ตั้งใจเขียนหนังสืออยู่หนึ่งชั่วยาม นางก็ไปเดินเล่นที่สวนผักแล้ว
วันนี้เหล่านักพรตกำลังขุดมันหวาน
หลี่ชิงลั่วเข้าไปช่วยเหลือ สองมือของนางเปื้อนไปด้วยดินโคลน
เหล่านักพรตต่างก็หัวเราะนาง แต่ก็ชอบนิสัยที่ไม่เรื่องมากของนาง และท่าทางที่ไม่รังเกียจงานสกปรกเลย
ผ่านไปสักพัก หลี่ชิงลั่วก็เริ่มเปิดประเด็นพูดและโยงประเด็นไปที่ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่หลังเขาชางซง
หลิงเฟิงจื่อมองค้อนนาง “ชู่ว์! ข้าขอเตือนเจ้าเลยนะ อย่าสืบเรื่องผู้สูงศักดิ์ท่านนี้จะดีกว่า มิเช่นนั้นเจ้าจะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตนะ”
หลิงเฟิงจื่อทำท่ามือปาดคอ
หลี่ชิงลั่วก็รีบยกมือปกป้องตนเองไว้
ไม่ว่าแม่นมจางหรือจะเป็นนักพรตเหล่านี้ ต่างก็ปกปิดคนที่อยู่หลังเขาชางซงเป็นความลับไว้กันหมด
ดูท่าแล้ว คงไม่ใช่คนที่ตนเองจะไปสืบได้จริงๆสินะ
หลี่ชิงลั่วรู้จักกาลเทศะดีและรู้จักเจียมตัว ตอนนี้นางเป็นเพียงมดตัวเล็ก ดังนั้นถ้ารู้ว่าอันตรายก็จะไม่อยากเข้าใกล้เด็ดขาด
นางไม่พูดถึงอีก แล้วพูดถึงมันหวานในมือพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านนักพรตทั้งหลาย อยากกินงานเลี้ยงมันหวานหรือไม่เจ้าคะ?”
เมื่อหลี่ชิงลั่วอายุได้เจ็ดขวบก็ถูกขายไปที่บ้านของคหบดีคนหนึ่งในหมู่บ้านเชิงเขาและทำงานเป็นคนงานในครัวเป็นเวลาสองปี
ถือเป็นช่วงเวลาสองปีที่นางใช้ชีวิตสุขสบายที่สุดในชนบท
ต่อมาบ้านของคหบดีคนนั้นก็เกิดเรื่องขึ้น ฮูหยินเฒ่าที่ใจดีก็ปล่อยตัวเหล่าทาสรับใช้อย่างพวกเขาไปก่อนที่เจ้าหน้าที่ราชสำนักจะมาถึง หลี่ชิงลั่วก็ถึงถูก ‘ท่านพ่อ’ ของตระกูลหลิวนำตัวกลับไปอีกครั้ง
นางมีพรสวรรค์ในการทำอาหารมาโดยตลอดและเคยเห็นวิธีการทำอาหารต่างๆ มากมายในครัว ดังนั้นนางจึงรู้วิธีทำมันหวานให้อร่อยด้วย
ผ่านไปสักพัก นางก็ไปทำมันหวานหลากหลายรูปแบบในครัว
ทอดมันหวาน ย่างมันหวาน น้ำเชื่อมมันหวาน นึ่งมันหวานบด มันหวานสายไหม มันหวานผัดหมูน้ำค้างและต้มซุปมันหวาน
อาหารแต่ละจานนั้นทำเอาหลิงเฟิงจื่อพวกเขาตกตะลึงจนตาค้าง
หลี่ชิงลั่วตักแต่ละอย่างออกมาแล้วส่งไปที่เรือนไม้ไผ่ ส่วนที่เหลือก็ให้เหล่านักพรตกิน
ในคืนวันนี้ เรือนเล็กหลังเขาชางซง ก็ได้รับอาหารสดใหม่หลากหลายรูปแบบเช่นกัน
นักพรตที่มาส่งอาหารยื่นตะกร้าเข้าไปในเรือน เขาไม่ควรมองเข้าไป แต่กลับเผลอเหลือบไปเห็นแอ่งน้ำสีแดงและซากศพเย็นยะเยือกบนพื้น
