บทที่ 6 ลูกเมียน้อย
“ทำไมคะ ก็แม่มันเป็นเมียน้อยคุณพ่อ..”
“ดาด้าพอเถอะลูก” สิริรีบเดินไปหาลูกสาวเพื่อให้หยุดพูดเพราะสามีกำลังโกรธหน้าแดงก่ำ
“ทำไมคะคุณแม่ ดาด้าพูดความจริง.”
“ยัยดาด้า แกขอโทษหนูขิมเดี๋ยวนะ” ดนุพันธ์โกรธลูกสาวแม้เขาจะผิดที่นอกใจสิริแต่เขาก็ยอมเลิกกับจันทราผู้หญิงที่เขารักเพื่อไม่ให้ครอบครัวมีปัญหาทั้งที่เขารักจันทราเต็มหัวใจและรู็สึกผิดมาจนทุกวันนี้แล้วสิริก็ไม่ได้ผิดอะไรถึงเขากับเธอแต่งงานกันเพราะความเหมาะสมทางสังคมพออยู่กันมานานก็กลายเป็นความผูกพันธ์
“ไม่ค่ะ ดาด้าจะไม่ขอโทษยัยลูกเมียน้อยนี่เด็ดขาด” สริดาพูดจบก็หมุนตัวเดินไปที่รถอย่างรวดเร็ว
“ยัยดาด้ากลับมาก่อนนะ เห็นมั้ยคำพูดที่คุณพร่ำบอกลูกในสิ่งที่ผิดน่ะมันบ่งบอกถึงความเป็นผู้ดีหรือไพล่ได้ดีในสายตาคนอื่น ทัพพาน้องไปหาคุณย่าเถอะลูก” ดนุพันธ์บอกลูกสาวที่ยืนกำหมัดแน่นนัยน์ตาวาววับคงจะโกรธมากขนาด
“สวัสดีค่ะ” หญิงสาวก็ยังยกมือไหว้พ่อกับเมียที่สะบัดหน้าหนีไม่รับไหว้ซึ่งเขมิกาก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะรู้อยู่แล้วจึงได้หลีกเลี่ยงมาตลอด
“ไปครับหนูขิม” กองทัพหอบกล่องเครื่องเพชรแล้วใช้ไหล่สะกิดน้องสาวไห้ไปหาคุณหญิงย่าที่เอนหลังอยู่ที่ห้องนั่งเล่นส่วนตัวของท่าน
“ค่ะ” เขมิกาเดินก้มหน้าตามหลังพี่ชายไปเงียบๆก่อนจะชนเข้ากับแผ่นหลังของพี่ชาย “อุ้ย, ขอโทษค่ะคุณทัพ”
“อย่าคิดมากนะหนูขิม ยัยดาด้าก็ปากเสียเหมือนเดิมแหละ” กองทัพบอกน้องสาวที่เขาไม่เคยเกลียดเพราะสงสารมากกว่าสิ่งที่คุณย่าเล่าให้ฟังต่างจากที่แม่เล่าแต่เขารู้ว่าแม่เสียใจและเจ็บช้ำก็ไม่ต่างจากแม่ของเขมิกาถ้าจะโทษก็ต้องโทษพ่อที่หลายใจทำให้ผู้หญิงทั้งสองเจ็บช้ำ
“ขิมไม่ชอบให้ดาด้าว่าแม่”
“พี่เข้าใจครับ ไปครับคุณหญิงย่ารออยู่” กองทัพก็พูดไม่ออกยังไงทั้งสองก็เป็นน้องก่อจะเดินไปหาย่า
“สวัสดีค่ะคุณหญิงย่า” สาวร่างเล็กบอบบางอรชรอ้อนแอ้นนั่งพับเพียบเรียบร้อยตรงหน้าคุณหญิงย่าแล้วกราบที่ตักท่าน
“สวัสดีลูก แล้วนั่นทำไมหอบมาแบบนั้นล่ะพ่อทัพ” คุณหญิงเห็นกล่องเครื่องประดับอยู่ในอ้อมกอดของหลานชายคนรองก็ถามอย่างสงสัย
“คือว่า.”
“คุณหญิงย่าครับ พอดีเครื่องเพชรมันตกครับแต่ผมไม่รู้ว่ามันเสียหายหรือเปล่า แต่หนูขิมไม่ได้เป็นคนทำยัยดาด้ากระชากถุงขาดเครื่องเพชรของคุณหญิงย่าก็เลยตกครับ” กองทัพชิงพูดก่อนหากเขมิกาพูดก็คงยอมรับผิดเองแน่และเขาก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นใครผิดก็ผิดใครถูกก็เป็นคนถูกเขารักน้องเท่ากันและไม่ได้ลำเอียง
“แม่ขิมเจอแม่ดาด้าเขาเหรอลูก”
“ค่ะ ขิมขอโทษนะคะคุณหญิงย่า ขิมผิดเองที่ไม่ระวังค่ะ” หญิงสาวยอมรับผิด
“ไม่เป็นไรลูก ไหนตาทัพเอามาให้ย่าดูสิ” คุณหญิงบอกหลานชายเปิดกล่องเครื่องเพชรให้ท่านดูมือเหี่ยวย่นหยิบสร้อยเพชรน้ำงามที่ท่านคัดเลือกเองกับมือเพื่อให้เป็นของขวัญวันเกิดของเขมิกาอีกสองเดือนที่จะถึงนี้ด้วยความเสียดาย
“อืมม. ตาทัพเอาไปให้ร้านเขาดูให้ย่าหน่อยนะ ว่ามันเสียหายหรือเปล่าแล้วขายให้ย่าด้วย” คุณหญิงบอกหลานชายและคิดว่าจะต้องสั่งทำใหม่
“ครับคุณหญิงย่า แต่แหวนไม่ได้ร่วงออกจากกล่องนะครับ” มือใหญ่เรียวยาวเปิดกล่องแหวนที่ยังอยู่ในตัวล็อคไม่หลุดและไม่ได้เสียหาย
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิแม่ขิม ไม่เป็นไรหรอกน่า” คุณหญิงลูบศีรษะของหลานสาวเบาๆอย่างเมตตา
“ขิมขอโทษนะคะคุณหญิงย่า” เขมิกาไม่กล้าเงยหน้าเพราะตอนนี้น้ำตามันเอ่อออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ไม่เอาลูก แม่ขิมคนเก่งของย่าเข้มแข็งไว้ลูกอย่าเรื่องที่คนอื่นพูดไม่ดีมาคิดให้เปลืองสมองสู้เอาไว้คิดเรื่องการงานดีกว่าลูกบาง ถ้าเรายังคิดถึงมันจะทำให้ไม่มีความสุขหากแม่จันเห็นก็จะไม่มีความสุขไปด้วยนะลูก” คุณหญิงรู้ว่าหลานสาวรักและเป็นห่วงแม่มากจึงพูดถึงแม่
“ฮึก ค่ะคุณหญิงย่า” เขมิกาอยู่คุยกับย่าแป๊บเดียวก็ขอตัวกลับ สาวร่างเล็กบอบบางเดินออกมาจากห้องของย่าทางด้านข้างบ้าน
“หนูขิม”
“คุณท่าน”
“หนูขิมจะไม่เรียกพ่อให้พ่อชื่นใจบ้างเหรอลูก” เสียงแหบเครือของดนุพันธ์ถามลูกสาวที่ไม่เคยเรียกเขาว่าพ่อเลยตั้งแต่พูดได้ถึงแม้ไม่ค่อยได้เจอกันแต่เขาก็รู้ความเป็นอยู่ของผู้หญิงที่เขารักทั้งสองผ่านผู้เป็นแม่ที่รับหน้าที่จัดการเรื่องค่าเลี้ยงดูให้เขาที่ไม่มีใครรู้ว่าเงินที่คุณหญิงโอนเข้าบัญชีของจันทราทุกเดือนนั้นเป็นเงินของเขาและบางส่วนก็เป็นของคุณหญิงที่ให้หลานตั้งแต่เขมิกาเข้ามหาวิทยาลัยจันทราก็ไม่ได้ดูบัญชีอีกเลยเพราะเธอมีเงินเก็บจากทำขนมขายพอส่งเสียลูกสาวด้วยน้ำพักน้ำแรงของเธอเก็บเงินส่วนนั้นไว้ให้ลูกสาวและไม่ได้สนใจว่าตอนนี้มีมากเท่าไหร่
“คุณท่านอย่าทำให้ขิมลำบากใจเลยค่ะ เป็นแบบนี้ดีแล้วค่ะ ขิมขอตัวนะคะ” เขมิกายกมือไหว้พ่อแล้วเดินจากไปดนุพันธ์มองสายเลือดของตัวเองแล้วถอนหายใจ
“พ่อขอโทษนะหนูขิมพ่อไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้” เสียงขอโทษของพ่อดังเบาๆอยู่ด้านหลังแต่หญิงสาวไม่หันไปมองเพราะอยากให้ทุกคนอยู่อย่างปกติสุข เธออยู่กับแม่แค่สองคนก็มีความสุขดีต่อไปเธอจะให้พี่เวียงเป็นตัวแทนเธอเข้าบ้านนี้ละกันก่อนจะขับรถออกไปจากคฤหาสน์หรูกลับบ้านของเธอที่ประตูอยู่ห่างกันไม่มาก
เขมิกาจอดรถเสร็จก็เดินไปหาแม่ที่โรงครัวทำขนม
“สวัสดีค่ะแม่ พี่เวียง” ร่างเล็กบอบบางนั่งอิงแม่อย่างออดอ้อน
“เป็นอะไรลูก” จันทราละมือจากทำขนมมองหน้าลูกสาวแล้วจูบหน้าผากเบาๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ขิมไปบ้านโน้นมาค่ะ เอาเครื่องเพชรไปให้คุณหญิงย่ามาค่ะ”
“อ่อ, หิวหรือยังลูก” จันทราเลี่ยงไปถามลูกสาวเรื่องกินเพราะรู้แล้วว่าเขมิกาต้องไปเจออะไรมาถึงได้เป็นแบบนี้
“หิวมากค่ะ พี่เวียงขามีอะไรให้ขิมกินบ้างคะ” เสียงหวานหันไปอ้อนพี่เวียงที่เป็นเหมือนญาติคนในครอบครัวของเธอ
“มีค่ะ เมื่อกี้คุณตี๋เล็กเอาออเดอร์มาส่งเขาเอาติ่มซำมาฝากชุดใหญ่เลยจ้ะ เดี๋ยวพี่ไปอุ่นให้นะคะ” เวียงบอกหลานสาวเจ้านาย
“ไม่ต้องค่ะพี่เวียง ขิมไปอาบก่อนเดี๋ยวขิมมาช่วยนะคะแม่ จุ๊บ” สาวร่างเล็กบอบบางหอมแก้มแม่แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้านหลังเล็กที่มีสามห้องนอนห้องรับแขกห้องครัวที่อบอุ่นของเธอแล้วอาบน้ำก่อนจะไปช่วยแม่ทำอาหาร
สริดาขับรถออกมาจากบ้านด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเพราะเจอเขมิกาและยังทำให้พ่อว่าเธออีกยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดจนถึงร้านอาหารกึ่งผับที่รวมตัวของหนุ่มสาวคนดังไฮโซดาราหญิงสาวจึงยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม
“แกเป็นอะไรดาด้า มาถึงก็ดื่มเอาดื่มเอาเดี๋ยวก็เมาหรอกแก” ทรายหรือนัดดาไฮโซสาวสกุลดังเก่าแก่ที่ร่ำรวยถามเพื่อนสาวที่ดื่มไม่หยุด
“เบื่อๆน่ะ เสาร์นี้ไปภูเก็ตกันมั้ย” สริดาถามเพื่อนในกลุ่มที่มีแต่ลูกท่านหลานเธอที่ฐานะเท่าเทียมกันอยู่ในวงสังคมเดียวกัน
“แจ๋วเลยดาด้า ป่านก็เบื่อที่บ้านเหมือนไปพักสมองหน่อยก็ดี” ป่าน ปานใจ สาวสวยลูกสาวเจ้าสัวร้านทองก็เบื่องานที่ร้านเพราะไม่ถูกกับพี่สะใภ้ที่จุ้นจ้านน่ารำคาญ
“คริสคงไปไม่ได้พอดีมีงานถ่ายแบบปกหนังสือเอฟน่ะ” คริสนางแบบสาวจากครอบครัวธรรมดาแต่ไต่เต้ามาเป็นางแบบและมาอยู่ในสังคมไฮโซเพราะมีแฟนเป็นไฮโซถึงแม้จะเลิกกันไปแล้วแต่เธอก็ยังเป็นเพื่อนในกลุ่มนี้และยังเป็นนางแบบในโมเดลลิ่งของแอนนี่
