ตอนที่5.
“ยะ... อย่าบอกว่าเด็กผู้ชายนั้นคือพี่ชายของหนูนานะ” หนูนาเอ่ยถามเสียงสั่น ทำตาโตมองหน้าคนพูดอย่างตกใจ รักร้อยพยักหน้ารับแทนคำตอบ ทำเอาสาวน้อยถึงกับอึ้งไป “แล้วเขาจะจำได้ไหมคะ ว่าเขาเคยทำอะไรแบบนี้กับพี่รักร้อย”
“พี่ไม่รู้หรอก แต่คิดว่าคงจำไม่ได้ พี่ยอมแต่งงานกับพี่ชายของหนู เพราะต้องการตอบแทนบุญคุณของเจ้าสัวเกริก อีกเหตุผลหนึ่งคือคุณเอกดนูเป็นเจ้าของจูบแรกของพี่”
รักร้อยลอบสังเกตสีหน้าของนวิยาก่อนจะแอบยิ้ม เมื่ออีกฝ่ายทำท่าเห็นอกเห็นใจเธอ เข้าทางฉันล่ะ ...รักร้อยเริ่มแผนสองทันที
“ตอนนี้คุณเอกดนูเขาหลบหน้าพี่ เขาไม่ยอมพบหน้าพี่น่ะไม่เท่าไหร่ แต่เขาให้นายหนึ่งเพื่อนของเขาไล่พี่อย่างกับสุกรอย่างกับสุนัข (อย่างกับหมูอย่างกับหมา) เขาเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า ทำไมไม่กล้ามาพบพี่ บอกกับพี่ตรงๆ ก็ได้ว่าไม่อยากแต่งงานกับพี่” รักร้อยพิโอดพิครวญอย่างน่าสงสาร (รึเปล่า) จนทำให้อีกฝ่ายเห็นใจ
“พี่ชายหนูนาเขาไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกค่ะ” แม่หนูนาตัวน้อยพยายามแก้ต่างให้พี่ชาย “เมื่อเช้าตอนที่พี่รักร้อยเกิดอุบัติเหตุ พี่เขาก็เป็นคนช่วยอุ้มพี่รักร้อยไปดูแลนะคะ”
เกิดอุบัติเหตุ จริงสิ! รักร้อยเกือบลืมสนิท รถกระบะคู่ใจของเธอหายไปไหนเนี่ย แล้วเธอขับรถไปชนอะไรเข้า
“รถของพี่อยู่ที่ไหนคะ เสียหายมากไหมคะ”
หนูนาส่ายหน้า นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสยอง เมื่อจู่ๆ รถกระบะแล่นด้วยความเร็วสูงปะทะกับร่างอันใหญ่โต ของเจ้าแรมโบ้ วัวพ่อพันธุ์สุดสวาทของเอกดนู ส่งผลให้เจ้าแรมโบ้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนคนชนก็สลบคาที่รถกระบะพุ่งเข้าเสียบโคนต้นไม้เต็มแรงโชคดีที่ถุงลมนิรภัยทำงาน ไม่เช่นนั้นพี่สาวคนสวยคนนี้ ต้องไปเฝ้ายมบาลตั้งแต่ยังสาว
“ไอ้แรมโบ้ลูกพ่อ ! ใครกันบังอาจขับรถเข้ามาในนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต”
เจ้าของไร่ดินเดียวหน้าตาถมึงทึง เดินรี่ไปหาคนขับรถกระบะทันทีหลังจากวัวน้อยกลอยใจถูกชนจนกระเด็น โชคดีที่เจ้าแรมโบ้แสนถึก มันจึงไม่เป็นอะไรมากนอกจากนอนจุกเยี่ยวราด อาจเป็นเพราะรถไม่ได้ชนจังๆ แค่เฉี่ยวเพราะคนขับหักหลบทัน แต่ถึงอย่างไรเจ้าของวัวไม่ยอมให้วัวของตัวเองถูกชนฟรี
“พี่หนึ่งเดียว คนขับเป็นผู้หญิงค่ะ”
หนูนาวิ่งตามพี่ชายไปส่องดูรถต้นเหตุ เห็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่งฟุบหน้ากับคอนโซลรถ โดยมีถุงลมนิรภัยรองรับหน้าอกเอาไว้ ท่าทางแบบนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสลบแน่ๆ กว่าจะเอาตัวออกจากรถได้ก็ทุลักทุเลเต็มทน เมื่อพี่ชายของเธอเห็นหน้าหญิงสาวชัดๆ ก็ทำหน้าเหมือนเห็นผี เขาถอยออกไปยืนห่างๆ ครู่หนึ่งก่อนจะ อาสาอุ้มคนเจ็บไปยังเรือนรับรอง และอยู่ดูแลเธอโดยไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง พฤติกรรมนั้นสร้างความแปลกใจปนสงสัยให้น้องสาวเหลือเกิน หนูนาแอบย่องเข้าไปแอบดูสองหนุ่มสาว ได้เห็นคนทั้งคู่ปะทะคารมกัน ก่อนที่พี่ชายเธอจะเป็นฝ่ายปราชัย เดินหนีผู้หญิงคนนี้ออกมา
“รถของพี่อยู่ที่อู่ซ่อมเครื่องยนต์ค่ะ พี่รีบกลับไหมคะ เดี๋ยวหนูนาให้คนขับรถไปส่งก็ได้นะคะ จะได้ไม่ลำบาก”
รักร้อยหันขวับไปมองคนพูดทันที “พี่ยังไม่กลับค่ะ ยังจะอยู่ที่นี่อีกนาน” เธอรีบบอกก่อนจะถูกไล่โดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง
หนูนายิ้มขำ “หนูนาถามดูเฉยๆ ค่ะ ไม่ได้อยากให้พี่ร้อยไปจริงๆ สักหน่อย” ร่างเพรียวบางขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับสอดแขนโอบเอวพี่สาวคนใหม่อย่างออดอ้อน ไม่นำพาว่าใครจะมองยังไง ก็คนมันชอบนี่...
“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเราสักหน่อย”
รักร้อยขยี้หัวสาวน้อยอย่างเอ็นดู แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย ท่าทางจะน่ารักกว่าพี่ชายเยอะ รักร้อยโอบไหล่น้องสาวว่าที่คู่หมายเดินไปรอบๆ ไร่ หนูนาเป็นไกด์คอยแนะนำสถานที่ต่างๆ ในไร่ให้ผู้มาเยือน จนไปถึงคอกวัวซึ่งอยู่ด้านหลังไร่ เสียงโทรศัพท์ของไกด์เจ้าถิ่นก็ดังขึ้น เจ้าตัวขอรับสายก่อนจะหันมาบอกลูกทัวร์กิติมศักดิ์ว่า
“หนูนาต้องรีบไปจัดการเรื่องออเดอร์ผักก่อนนะคะ มีลูกค้ารายใหม่เขามาสั่งของ”
“รีบไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่เดินดูอะไรแถวนี้แป๊บหนึ่งก็กลับแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ค่ะ เดี๋ยวมื้อเย็นหนูนาจะแวะไปรับพี่ไปทานข้าวที่บ้านนะคะ” หนูนาบอกก่อนจะ รีบวิ่งไปทำงาน
รักร้อยต้องเดินสำรวจคอกวัวเอง ในโรงรีดนมคนงานกำลังเตรียมรีดนมวัวเธอจึงเดินเข้าไปดูอย่างสนใจ เจ้าตัวอยากลองหัดรีดนมวัวดูสักครั้ง แต่ขอเป็นโอกาสหน้าเพราะเมื่อยเต็มทน หัวที่โดนกระแทกเริ่มปวดหนึบๆ ยาแก้ปวดคงหมดฤทธิ์ไปแล้ว อาการปวดทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รักร้อยกัดฟันเดินหาที่นั่งพัก จนไปถึงโรงเก็บฟางเต็มไปด้วยก้อนฟางวางเรียงรายเต็มโกดัง เงียบและเย็นพอใช้ได้ จึงตัดสินใจใช้ที่นี่เป็นที่นั่งพัก
“ลุงแจ้ง ผมบอกแล้วไง ว่าให้ไอ้คันศรมันดูเจ้าแรมโบ้ให้ดี นี่มันไปไหนทำไมไม่มาสักที”
เสียงดังล้งเล้งของคนกำลังอารมณ์เสียแว่วมา ทำให้รักร้อยรีบมองหาต้นเสียง เงาดำทอดยาวตามแสงแดดในยามบ่ายคล้อย นำหน้าเจ้าของที่เดินมาพร้อมคนงานสูงวัย รักร้อยไม่อยากเจอหน้าคนปากเสีย เธอจึงเดินหลบไปอยู่ด้านหลังกองฟาง อาการปวดเริ่มทุเลาลง เหลือแต่อาการมึนๆ ยังไม่หายไป
“ลุงไปตามไอ้หมอคันศร กลับมาฉีดยาให้ไอ้แรมโบ้ด้วย ผมกลัวมันจะเจ็บแผล” เสียงคุ้นหูดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเจ้าของเสียงเดินมาหยุดหน้ากองฟางที่หญิงสาวหลบซ่อนอยู่
ใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มชาวไร่มีเม็ดเหงื่อเกาะพราว เสื้อเชื้อลายสก็อตชุ่มไปด้วยเหงื่อมองเห็นรอยชื้นด้านหลัง เมื่อลุงแจ้งเดินไปแล้วเขาก็นั่งลงบนกองฟางแห้ง จัดการถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออก เหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวด้านใน เผยให้เห็นแผงอกกว้างบึกบึนน่าซบ กล้ามเนื้อหัวไหล่และต้นแขนเป็นมัดๆ อย่างคนออกกำลังกายสม่ำเสมอ ผิวขาวจัดของเขาเนียนสวยไม่แพ้ผิวผู้หญิง ยามนี้มันเรียบรื่นมันวาวด้วยหยาดเหงื่อ เสื้อกล้ามสีขาวซับเหงื่อจนชุ่ม มองเห็นทะลุไปถึงกล้ามเนื้อเป็นลอนเรียงแถวสามแถวที่เรียกว่าซิกแพ็ค ตรงหน้าท้องแกร่ง สายตาซุกซนยังคงแอบลอบมองอย่างเพลิดเพลิน จนเผลอเดินออกมาจากที่ซ่อน ทำให้คนที่ถูกลวนลามทางสายตาหันมาเห็นเข้า
“คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
รักร้อยทำหน้าไม่ถูกเมื่อโดนจับได้ ไม่น่าเลย เธอไม่น่าถูกจับได้เร็วแบบนี้เลย ยังมองไม่หนำใจเลยเจ้าตัวแอบบ่นกระปอดกะแปดอย่างขัดใจ ...
“ฉันมาเดินเล่น ไม่ได้ตั้งใจมาแอบ เอ้ย ! มากวนใจนายสักหน่อย…”
ดวงตาคมงามหรี่มองหญิงสาวด้วยสายตาระแวง เมื่อเห็นแก้มนวลแดงปลั่งทั้งสองแก้ม กับสายตาหลุกหลิกที่เผลอมองเนื้อตัวเขา ก็รู้สึกอยากแกล้งคนตรงหน้าขึ้นมาในทันใด
“ผมไม่เชื่อว่าคุณแค่มาเดินเล่น” ร่างหนาล่ำบึก เดินเข้ามาใกล้ร่างเพรียวบางอย่างจงใจ “ คุณมาสำรวจทรัพย์สินของนายเอกดนูเพื่อนผมใช่ไหม รู้หรือยังว่ามันรวยมากจนไม่ต้องการมรดกอะไรจากใคร”
“ก็แค่ไร่เล็กๆ เลี้ยงวัวปลูกผักขาย คิดว่ารวยนักหรือไง” รักร้อยหมั่นไส้คนขี้อวด จนเผลอต่อปากต่อคำด้วย
“ก็รวยพอ ที่จะไม่รับมรดกพร้อมของแถมอย่างคุณไง” เขายิ้มหยัน ใช้สายตากวาดมองทั่วร่างบางแล้วส่ายหน้า “คุณน่ะ ไม่เหมาะกับที่นี่หรอก ผมว่าคุณยอมแพ้แล้วกลับกรุงเทพไปเหอะ อย่าด้านหน้าอยู่เลย ยังไงๆ นายเอกดนูก็ไม่เอาคุณหรอก เสียเวลาเปล่าๆ ”
คารมคมหอกปักฉึกๆ เข้าเต็มอก นายชาวไร่หน้าหล่อไม่ออมคำซัดเธอไม่เลี้ยง ทำเอารักร้อยหมดอารมณ์เคลิ้มฝันกับคนหน้าหล่อใจดำคนนี้ทันทึ เธออยากรู้นักว่าทำไมเขาจ้องจิกกัดเธอนักหนา หรือว่า...
“นายแอบชอบนายเอกดนูใช่ไหม เป็นแบบนี้นี่เอง นายถึงได้ด่าว่าฉันเสียๆ หายๆ “ รักร้อยทำเสียงจิ๊จ๊ะในคอ พร้อมกับส่งยิ้มถากถางคืนกลับ เธอตวัดสายตามองชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะเบ้ปาก “ เชอะ ไม่นึกว่าผู้ชายหน้าตาพอไปวัดไปวาตอนสายๆ อย่างนาย จะเป็นพวกนักอนุรักษ์ของแปลก”
