บท
ตั้งค่า

บทที่ 9

หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันพับเสื้อนอนของมิสซิสดันแลพเอาไปวางไว้ที่เตียงเพื่อให้มาเรียเอาส่งกลับคืนเจ้าของ ขณะเดียวกันก็บอกตัวเองว่าถึงเวลาไปทำงานเสียทีได้แล้ว แต่ใจหนึ่งก็ไม่อยากจะออกจากห้องที่มีฝาผนังล้อมรอบอยู่ทั้งสี่ด้านนี้ไปไหนเลย

การนึกถึงความเป็นจริงประการหนึ่งขึ้นมาได้ว่าตัวเองเคยแพ้ยาประเภทกล่อมประสาทมาแล้ว มันไม่ใช่บทสรุปที่ว่าร่างกายของฉันรับยานี้เข้าไปอีกครั้งและเป็นเหตุให้เกิดอาการเช่นเมื่อคืน แต่มันก็ออกจะเป็นการง่ายที่ใครสักคนจะแอบใส่ยาบางอย่างลงไปในเครื่องดื่ม และเกือบทุกคนที่อยู่ในงานก็ดูจะมีโอกาสทำเช่นนั้นด้วยกันทั้งสิ้น รวมทั้งมาร์กาเร็ต แม็กซ์เวลล์ด้วย เพราะมีอยู่ตอนหนึ่งที่แก้วของเราสองคนวางเรียงกันอยู่บนโต๊ะค็อกเทล และเธอเองก็ดื่มเชอรี่ด้วยเช่นกัน

แม้แม็กซ์เวลล์จะไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นว่าเธอมีเจตนาที่จะทำเช่นนั้นเมื่อวันวานแต่ความเคลื่อนไหวของเธอก็มีแนวโน้มมากกว่าใครว่าน่าจะทำได้ ไม่มีสิ่งใดทำให้เธอมีความสุขเท่ากับได้เห็นฉันถูกหยามหยันต่อหน้าผู้คน แถมยังเป็นผู้คนที่มีความสำคัญอย่างมากเสียด้วย คือทั้งต่อหน้าเจ้านาย เพื่อนร่วมงานคนใหม่และยังผู้เชี่ยวชาญทางด้านโบราณคดีผู้มีชื่อเสียงในนครชิคาโกอีกด้วย ฉันรู้ว่าถ้าไม่มีหมออยู่ด้วยและถ้าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับฉันน้อยกว่านี้ ฉันอาจจะทำอะไรลงไปเป็นผลให้ต้องถูกไล่ออกจากงานอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตามการถูกค้นห้องเป็นครั้งที่สองนี้ต้องเป็นความประสงค์ของใครสักคนหนึ่ง การที่ฉันเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้ต้องทิ้งบ้านหลังนี้ไว้ทั้งคืน แม้ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อนว่าฉันจะเกิดไม่สบายขึ้นมาอย่างรุนแรง แต่ไม่ว่าจะมากน้อยสักเพียงไรก็จะมีผลที่ตามมาเหมือนกันอยู่ประการหนึ่งคือ มิสซิสดันแลพจะต้องยืนยันให้ฉันนอนพักอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ให้ได้ เพราะเธอถือว่านั่นคือการแสดงน้ำใจนอกเหนือจากความรู้สึกรับผิดชอบในตัวฉันที่เกิดขึ้นกับเธอแล้ว

ฉันอยากรู้เหลือเกินว่าคนที่เข้ามาตั้งหน้าตั้งตาค้นห้องต้องการอะไรจากฉัน การค้นครั้งแรกนั้นเอกสารส่วนตัวที่ฉันนำติดตัวมาด้วยหลุดออกมาอยู่ข้างนอก แต่ทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่ฉันมี เมื่อมีการค้นครั้งที่สองเกิดขึ้นเช่นนี้ย่อมแสดงว่าผู้ค้นแน่ใจอย่างเหลือเกินว่ามันจะต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น ซึ่งฉันก็นึกไม่ออกเลยว่ามันควรจะเป็นอะไร หรือเขาคิดว่าจะพบทะเบียนสมรส พบจดหมายรักที่โต้ตอบกันอยู่ระหว่างสตีเฟ่นกับแม่ หรือเอกสารที่จะเปิดเผยความลับของครอบครัว? เหตุผลนั้นมีอยู่ร้อยสี่พันอย่างแต่ก็เป็นเหตุผลที่คาดเดาเอาเองไม่มีอะไรจะมายืนยันได้ว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้น

แต่สิ่งหนึ่งที่เขาควรจะคิดได้ก็คือ ถ้าฉันเป็นคนที่ต้องการจะเข้ามาแบล็คเมล์หรือใช้วิธีการอื่นข่มขู่เพื่อหวังทรัพย์สมบัติของตระกูลนาซาเรี่ยนจริง ป่านนี้ฉันจะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างแล้ว ในเมื่อฉันมีโอกาสเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ตั้งหลายวัน ฉันไม่เชื่อว่าคนอย่างวิคเตอร์ นาซาเรี่ยนจะเกรงกลัวคำขู่ไม่ว่าจะจากฉันหรือใครทั้งสิ้น เพราะเขาอยากเตะฉันออกจากบ้านเมื่อไหร่ก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว

ฉันขดตัวอยู่ในเก้าอี้ สมองปวดร้าวด้วยความคิดต่างๆ ที่ผ่านเข้ามารู้สึกเหมือนตัวเองใกล้บ้าเต็มที มองไม่เห็นเหตุผลที่จะเอามาอ้างได้ว่าข้าวของทรัพย์สินถูกรื้อค้น ไม่มีเหตุผลยืนยันด้วยว่าเมื่อคืนนี้ฉันถูกวางยา และสมมติว่าฉันจะมีเหตุผลมากมายหลายประการที่จะสนับสนุนเหตุผลดังกล่าวก็แล้วฉันจะทำอะไรได้? จะไปแจ้งความอย่างนั้นหรือ? แล้วจะอ้างใครเป็นผู้ต้องสงสัยในกรณีนี้เล่า?... เสียงเคาะตรงหน้าประตูปลุกให้ฉันตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความคิดอันสับสน แต่ก่อนที่ฉันจะทำลุกขึ้นประตูบ้านก็เปิดออกพร้อมกับคาร์ลที่โผล่หน้าเข้ามา ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดว่าอย่างไร

“ค่อยยังชั่วขึ้นแล้วใช่ไหม?” ฉันฝืนยิ้มให้กับคำถามนั้น

“ก็...ดีขึ้นมากแล้วล่ะ...ต้องขอโทษด้วยนะที่วันนี้ไปทำงานสาย กำลังจะ...”

“ผมว่าวันนี้คุณพักเสียสักวันดีกว่ามั้ง”

“ฉันอยากไปทำงานมากกว่าค่ะ” ฉันหันไปคว้ากระเป๋าถือรุนร่างเขาให้ออกจากประตูบ้าน ไม่ได้คิดจะหันกลับมาล็อคประตูเช่นทุกครั้ง มีประโยชน์อะไรที่จะทำอย่างนั้นอีกเล่า? คาร์ลเดินตามฉันมาเงียบๆ

“เอ้อ...คือ...เรื่องเมื่อคืนนี้น่ะ...”

“อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย พูดแล้วมันเจ็บใจ มันขายหน้าที่สุด” ฉันไม่ได้ชะลอฝีเท้าลงเลยแม้แต่ก้าวเดียว

“ไม่มีใครเขาคิดอะไรหรอก”

“ฉันต้องขอบใจด้วยนะที่เมื่อคืนคุณช่วยอุ้มฉันขึ้นไปนอน คงจะหนักหน่อยสำหรับคุณ”

คราวนี้เขาหันมาคว้าแขนกระชากร่างให้หันกลับไปเผชิญหน้า

“เลิกพูดอะไรที่มันเยาะหยันตัวเองอย่างนี้เสียทีเถอะฮัสเคลล์ เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกก็ได้ถ้าคุณไม่อยากพูด แต่ผมอยากบอกให้รู้ว่ามันไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่เกิดความรู้สึกอย่างนี้ พอลน่ะถึงกับทุบอกทีเดียว เดฟเองก็โทรศัพท์มาถามไถ่ถึงสองครั้ง และผม...บางทีมันอาจจะเป็นไอ้แก้วหลังสุดที่ผมเอามาให้คุณก็ได้ที่ทำให้คุณต้องมีอาการถึงขนาดนั้น”

สีหน้าและน้ำเสียงของเขาบอกความจริงใจ และทำให้ฉันรู้สึกเห็นใจเขาขึ้นมาบ้าง

“ยังไม่แน่หรอก ว่าแต่ในแก้วนั้นมันเป็นอะไรกันแน่”

“ก็นี่แหละคือปัญหา เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมหยิบแก้วจากถาดใกล้มือมาได้สองใบ เดฟน่ะเขากินเหล้าอะไรก็ได้อยู่แล้ว และผมก็ไม่คิดว่าคุณจะกิน...”

“อย่าห่วงเลย ถึงยังไงฉันก็รอดพ้นอันตรายมาได้เรียบร้อยแล้วล่ะ

“ก็...ได้”

ความรู้สึกทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ในสีหน้าไม่มีอะไรต้องเคลือบแคลงสงสัยเลยแม้แต่น้อย และรอยยิ้มของคาร์ลทำให้ฉันอยากจะเล่าความคับข้องใจที่เกิดขึ้นอยู่ให้เขาฟัง ฉันรู้ว่าคาร์ลไม่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ไม่มีเหตุผลที่เขาอยากเห็นฉันเกิดเจ็บป่วยลง ถ้าสมมติว่าเขาคิดเป็นศัตรูกับฉัน อยากเห็นฉันถูกไล่ออกจากงานเขายังมีวิธีการอื่นอีกมากมายที่จะเอามาใช้ได้ ไม่ใช่ใช้วิธีที่เลวร้ายถึงขนาดนี้

อีกประการหนึ่งคาร์ลเองก็เป็นเพียงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งไม่ได้มีอำนาจอะไร เขาอาจจะชื่นชมในตัวมิสซิสดันแลพ ยังต้องพึ่งพาเดฟ และวิคเตอร์ นาซาเรี่ยนก็เป็นคนจ่ายเงินจ้างเขาเข้ามาทำงาน เพราะฉะนั้นเขาเองก็ตกอยู่ในฐานะลำบากเช่นเดียวกัน แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ใช่คนที่ฉันสมควรจะเปิดเผยสิ่งที่ข้องอยู่ในใจให้ฟัง

บุคคลเดียวในโลกนี้ที่ฉันให้ความไว้วางใจอย่างที่สุดและพร้อมที่จะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาฟังก็คือจอน ไม่ว่าจอนจะเชื่อในเรื่องเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหนความรู้สึกที่เขาแสดงออกก็จะเหมือนกันทั้งนั้น เวลานี้เขาปล่อยให้ฉันทำทุกอย่างตามใจชอบไม่คิดจะพาตัวกลับไปบ้านด้วย เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ฉันก็นึกมาถึงการนัดหมายของเราได้

“เย็นวันนี้เพื่อนจะมารับฉันที่นี่ เขาจะถูกยิงตรงหน้าประตูหรือว่ายามพอจะปล่อยให้เข้ามาได้ไหมคะคาร์ล?”

ดูเหมือนเขาจะยอมรับกับการเปลี่ยนเรื่องพูดแต่โดยดี จะมีก็แต่เพียงดวงตาเท่านั้นที่เป็นประกายระแวงเหมือนกระรอกไม่มีผิด

“ผมว่าทางที่ดีควรจะแจ้งให้ยามหน้าประตูเขารู้เรื่องเสียก่อน บอกให้รู้ไว้ว่าเขาจะมาถึงสักกี่โมง ใช้โทรศัพท์ในห้องทำงานก็ได้นี่”

เขาสอนให้ฉันรู้ถึงวิธีใช้โทรศัพท์ภายใน และแสร้งทำเป็นไม่สนใจขณะที่ฉันให้ชื่อจอนกับยามรักษาการณ์ ซึ่งฝ่ายนั้นซักไซ้ไล่เลียงราวไม่รู้จบจนฉันเกิดโมโห

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขาขับรถอะไร เพราะเขาอาจจะใช้รถเช่าก็ได้ เขาสูงประมาณหกฟุตสองนิ้ว ผมดำ...อะไรนะ?...อ๋อ...อายุยี่สิบแปดแล้ว...ทำไมคุณ...เอาละ ขอบใจมากนะ”

พอวางหูโทรศัพท์ลงฉันก็หันไปเล่นงานคาร์ล ราวกับว่ามันเป็นความผิดของเขาอยู่คนเดียว

“ฉันแปลกใจจังเลยนะที่ยามไม่ยักขอรูปถ่ายกับใบสูติบัตร” ฉันกระแทกเสียงใส่เขาอย่างเหลืออด

“มันก็เป็นธรรมดาในเมื่อคุณอยู่ในตำแหน่งนี้” คาร์ลตอบอย่างใจเย็น พอฉันจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้เขาก็เอ่ยต่อว่า “ยังมีอีกเรื่องเป็นคำสั่งจากพอล เขาต้องการพบคุณวันนี้”

“ต้องการพบฉันอย่างนั้นเรอะ...เขาจะเอาฉันไปทำอะไรล่ะ?”

“ผมไม่ได้พูดเล่นนะ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาต้องการอะไรเพราะเขาไม่ได้บอก แต่คิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องดีมากกว่าเรื่องร้าย เราไปกันเลยดีกว่าผมจะเป็นคนพาคุณไปเอง”

เราออกมาข้างนอกกันอีกครั้งเดินอ้อมไปตามทางเข้าด้านหน้าซึ่งคาร์ลอธิบายว่า

“จากห้องพิพิธภัณฑ์คุณสามารถเดินลงไปที่ห้องทำงานของเราได้ แต่จะขึ้นมาไม่ได้นอกจากจะมีคนเปิดประตูด้านพิพิธภัณฑ์ให้ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยอีกนั่นแหละ อย่างนี้...” เขากดปุ่มเหนือประตู มีเสียงดังขึ้นภายในและมีผู้เดินมาเปิดประตูให้แต่ไม่ใช่ยามรักษาการณ์เช่นที่ฉันคาดไว้แต่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แม้ว่าตรงนั้นจะเป็นประตูกระจกแต่ประตูเหล็กดัดที่อยู่ทางเบื้องหลังทำให้ฉันเห็นเธอได้ไม่ชัดเจนนักจนเมื่อเธอเปิดประตูออกและคาร์ลก็ทักทายอย่างธรรมดา

“สวัสดีมาร์กี้...ฮัสเคลล์ นี่คือคุณมาร์กี้ แอทวู๊ด เป็นเลขา ฯ ของพอลไงล่ะ มาร์กี้รู้จักฮัสเคลล์ มาโลเน่ย์เสียสิ”

ท่าทางของเธอเหมือนนางเอกที่แสดงเป็นตัวเลขานุการในหนังโทรทัศน์ไม่มีผิด รูปร่างเพรียวระหงแต่งตัวทันสมัย เรือนผมสีบลอนด์หวีเรียบมุ่นเป็นมวยตรงท้ายทอย ฉันอดสังเกตไม่ได้ว่าชุดสูทเทย์เลอร์ที่เธอสวมใส่อยู่นั้นแนบเน้นทุกสัดส่วนบนเรือนร่าง

เธอเพียงแต่ฝืนยิ้มให้ตามมารยาท ก่อนจะออกเดินนำไปตามห้องโถงทางเดินสู่ประตูด้านซ้ายมือ ฉันไม่ค่อยมีเวลามากที่จะสังเกตอะไรนัก แต่กระนั้นก็ยังประทับใจไม่ได้ พื้นห้องปูด้วยหินอ่อนเรียบลื่นและแวววาวราวพื้นน้ำที่สงบนิ่ง เมื่อเราเดินเข้าไปในห้องทำงานของเธอก็พบกับเครื่องใช้สำนักงานที่ทันสมัยล่าสุดอย่างน้อยก็เครื่องคอมพิวเตอร์ เธอเดินตัดห้องนั้นตรงไปยังประตูบานหนึ่งที่ปิดอยู่ เคาะเบาๆ ก่อนจะเปิดมันเข้าไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel