บท
ตั้งค่า

บทที่ 3

เสียงพูดคุยที่ดังมากผิดปรกติ ผู้คนก็มากมายกว่าทุกวัน รวมถึงภาพการมุงดูภายในตลาดเก่าที่มีอายุประมาณร้อยปี ทำให้ใครหลายต่อหลายคนอดที่จะหันไปมองยังที่มาของต้นเสียงและภาพเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ และหนึ่งในนั้นคือมธุรดา ฉายาแม่ค้าผลไม้หน้าหวานประจำตลาด ที่ชะเง้อมองจนพอจะรู้ว่าใครกันคือต้นเหตุของความโกลาหลขนาดย่อมนี้ ก่อนจะถึงบางอ้อ

“ดารามาถ่ายละคร” น้ำเสียงที่เอ่ยขึ้นมานั้นฟังดูตื่นเต้น มธุรดาหันไปส่งยิ้มแห้งๆ ให้แม่ค้าผลไม้แผงติดกันดูจะดีอกดีใจกับการเห็นดาราจนเก็บอาการแทบไม่อยู่

เธอส่ายศีรษะให้เบาๆ ก่อนจะตั้งอกตั้งใจขายผลไม้ซึ่งเป็นผลผลิตจากสวนของเธอเองซึ่งวันนี้ดูจะขายดีเป็นพิเศษ อาจเป็นเพราะมีกองละครมาใช้สถานที่ถ่ายทำก็เป็นได้ แม้มธุรดาจะเรียนจบระดับปริญญาตรี สามารถทำงานประจำเป็นสาวออฟฟิศ แต่งตัวสวยๆ ใช้ชีวิตในเมืองกรุงได้อย่างสบายๆ แต่เธอกลับปฏิเสธงานเหล่านั้น แล้วเลือกที่จะมาเป็นชาวสวนผลไม้ ใช้ชีวิตเรียบง่ายกับมารดาที่ราชบุรีสองคน

“ผลไม้ทั้งหมดนี่ขายเท่าไหร่คะ”

“เอ๊ะ! อะไรนะคะ” ความที่กำลังยืนคิดอะไรเพลินๆ ทำให้มธุรดาไม่ทันฟังจบประโยค

“พี่ถามว่า ผลไม้ทั้งหมดนี่ขายเท่าไหร่คะ พอดีพี่จะเหมาไปให้คนที่กองถ่ายทานนะคะ” หญิงสาวแต่งตัวด้วยชุดเดรสสีดำคลุมเข่าเอ่ยถามขึ้น คำสั่งนี้เป็นของเจ้านายเธออีกที การแต่งหน้า แต่งตัวเช่นนี้มธุรดามองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนแถวนี้แน่นอน

“พี่จะเหมาผลไม้ของดาจริงๆ เหรอคะ” แค่มีคนมาซื้อผลไม้มธุรดาก็ยิ้มแป้นแล้ว แต่นี่กลับจะมาเหมาเธอจึงยิ้มกว้างยินดีเป็นที่สุด สมกับที่มารดาอวยพรเมื่อเช้าไม่มีผิด

“ค่ะ...ผลไม้น้องสด ดูน่าทานดี ว่าแต่ปลูกเองหรือเปล่าจ๊ะเนี่ย”

“ปลูกเองค่ะ ผลไม้พวกนี้ดาปลูกเองกับมือ เป็นผลไม้ปลอดสารพิษด้วยนะคะ” เจ้าของสวนผลไม้ยิ้มกว้างเมื่อมีคนชมผลผลิตที่ตั้งใจและเอาใจใส่ดูแลทุกขั้นตอน

“ดีๆ ว่าแต่มีบริการปอกให้พี่ไหม” ที่ถามเพราะเธอไล่แผงผลไม้แผงอื่นมาบ้างแล้ว แต่ไม่มีแม่ค้าคนไหนมีบริการปอกให้ด้วยนั่นเอง

“มีค่ะมี พี่จะให้ดาปอกผลไม้อันไหนบ้างคะ” มธุรดารีบขานรับ เรื่องเล็กๆ แค่ปอกผลไม้ให้ลูกค้าระดับวีไอพีที่เหมาผลไม้หมดแผงแบบนี้ มีหรือที่เธอจะบริการให้ไม่ได้

คำพูดคำจาของมธุรดาทำให้อีกฝ่ายสนอกสนใจ โดยเฉพาะแววตาที่สดใสยิ่งบวกกับรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ของเธอด้วยแล้วก็ยิ่งให้น่ามอง แม้จะเป็นชาวสวนผลไม้ แต่ความสวยของมธุรดาก็โดดเด่น เพียงแค่ไม่มีโอกาสเผยตัวตนที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้าซอมซ่อให้ใครได้เห็นก็เท่านั้น

“เอาฝรั่ง ชมพู่ แล้วก็มะม่วงมันจ้ะ”

“ได้ค่ะ”

“อ้อ...น้องมีจานสวยๆ สักใบไหม พอดีพี่จะแยกผลไม้ชุดหนึ่งไปให้เจ้านาย”

“ไม่มีค่ะ แต่เดี๋ยวดากลับไปเอาที่บ้านให้ บ้านดาอยู่ใกล้ๆ นี่เอง” มธุรดาส่งยิ้มให้ วันนี้เธอมีความสุขที่ผลไม้ขายได้มากกว่าการเห็นดารามาถ่ายละครเสียอีก

“งั้นก็ดีเลย พี่ฝากด้วยนะ อีกสักสองชั่วโมงเดี๋ยวพี่เดินมารับผลไม้ที่สั่งไว้”

“ค่ะ” มธุรดายิ้มรับอีกครั้ง ก่อนจะรีบขับมอเตอร์ไซด์คันโปรดกลับบ้านเพื่อเอาจานมาใส่ผลไม้ แต่ยิ่งรีบเหมือนจะยิ่งช้าเพราะแทนที่จะได้เข้าบ้านทันทีกลับมีรถจากไหนก็ไม่รู้จอดปิดทางเข้าบ้านเธอเสียนี่

มธุรดาจอดรถชิดกำแพงรั้วไม้ที่ล้อมรอบบ้านเธอไว้ ก่อนจะยืนเท้าสะเอวมองไปยังทะเบียนรถคันดังกล่าวที่ลงท้ายจังหวัดคือกรุงเทพมหานครด้วยแววตาไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“คนกรุงเทพฯ เค้าจอดรถกันอย่างนี้นะเหรอ มันน่าโมโหนัก” คนโมโหอดที่จะบ่นกระปอดกระแปดไม่ได้ ก่อนจะเดินไปบอกให้รถคันดังกล่าวเลื่อนออกไป เพราะเธอจะได้ขับรถเข้าบ้านได้อย่างสะดวก แต่จังหวะที่มธุรดากำลังยืนเท้าสะเอวอยู่ตรงประตูข้างรถตู้พร้อมตั้งท่าจะพูด ประตูอัตโนมัติก็เปิดออกเช่นกันพร้อมกับคนในรถที่กำลังก้าวเท้าลงมาด้วยความเร็ว

เพราะความใกล้แบบไม่ตั้งใจ จังหวะที่อีธานกำลังเงยใบหน้าขึ้นนั้น ปลายจมูกโด่งได้รูปของเขาก็สัมผัสเข้ากับปลายจมูกโด่งรั้นของหญิงสาวตรงหน้าเข้า เพียงนิดเดียวริมฝีปากทั้งคู่ก็เกือบจะสัมผัสกัน นั่นทำให้มธุรดาสะดุ้งแล้วขยับออกห่างทันที

ทุกอย่างรอบตัวดูจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ มธุรดายืนกะพริบตาปริบๆ ดวงตาสีน้ำตาลที่ปกคลุมไปด้วยแพขนตางอนตามธรรมชาติกำลังสบตากับดวงตาสีดำเข้มราวกับต้องมนต์สะกด อีธานเองก็สะดุดกับดวงตาคู่สวยของคนตรงหน้าเช่นกัน แม้ด้วยอาชีพทำให้เขาได้สบตาใครต่อใครมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ดวงตาคู่นี้ช่างสดใสกว่าดวงตาคู่ไหนที่เขาเคยเห็นมา ดูมีเสน่ห์ เย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก ภาพของลออดาวที่กำลังเฟ้นหาตัวนักแสดงก็ลอยเข้ามาทันที

โฮ่ง โฮ่ง!!

เสียงเจ้าไข่เจียว สุนัขที่มธุรดาเลี้ยงไว้เฝ้าสวนดังขึ้นมาจากไกลๆ ทำให้ทั้งคู่หลุดออกจากภวังค์ ก่อนที่มธุรดาจะดึงสติกลับมา เมื่อครู่เธอเกือบเสียจูบแรกให้ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้เข้าเสียแล้ว คิดแล้วก็น่าโมโห ผู้ชายคนนี้จอดรถขวางทางเข้าบ้านเธอยังไม่พอ ยังจะมาทำรุ่มร่ามกับเธออีก มธุรดาจึงผลักอกชายหนุ่มให้ออกห่างสุดแรง แต่เหมือนว่าคนรูปร่างสูงใหญ่อย่างอีธานนั้นแทบจะไม่ขยับไปไหนด้วยซ้ำ

“ไอ้คนฉวยโอกาส”

“ฉวยโอกาสยังไงครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงถาม ยิ่งได้เห็นคนตรงหน้าโกรธจนหน้าดำหน้าแดงแบบนี้ก็ยิ่งอยากแกล้ง อยากเอาชนะ เพราะทุกวันนี้เขาเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับสภาวะรอบๆ ตัว ในฐานะที่เขาเป็นผู้บริหารสูงสุดซึ่งล้วนแต่คนเอาอกเอาใจ นานวันเข้าก็เริ่มเบื่อกับการต้องอยู่ในสังคมที่ต้องสวมหน้ากากตีสองหน้าเข้าหา โดยเฉพาะในวงการมายายิ่งแล้วใหญ่ หาใครที่จริงใจด้วยยาก ทุกคนล้วนแต่คบหาเพื่อประโยชน์ของตัวเองเกือบทั้งสิ้น หากวันใดเขามีโอกาสก็อยากหลบหนีความวุ่นวาย หาที่อยู่เงียบๆ พักสมองบ้างเหมือนกัน

“ก็ที่นายเกือบจะ...เอ่อ...จูบฉันเมื่อกี้” พูดเรื่องเมื่อครู่แล้ว มธุรดาก็รู้สึกอายปากชอบกล

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel