บทที่ 5
“คุณแม่รู้แล้วเหรอครับ”
“อืม…รู้แล้ว นี่ถ้าแม่ไม่คาดคั้นจากคุณลุงก็คงไม่รู้อะไรอีกตามเคย” เอ่ยจบก็ถอนหายใจออกมาเพราะครอบครัวเธอเป็นหมอมาตั้งแต่ต้นตระกูล สามีที่เสียไปแล้วของเธอก็เป็นหมอ
“อันที่จริงผมก็ตั้งใจจะบอกคุณแม่อยู่พอดี”
“บอกตอนไหน ไม่ใช่ก่อนวันเดินทางหรอกนะ”
“โธ่คุณแม่ครับ” ดาวฤกษ์แกล้งโอดโอย แต่ดูเหมือนผู้เป็นแม่จะไม่คล้อยตามแม้แต่น้อย
“คราวนี้จะไปนานแค่ไหน”
“ยังไม่มีกำหนดครับ พอดีที่นั่นพึ่งจะสร้างโรงพยาบาล กว่าอะไรจะเข้าที่เข้าทางคงอีกพักใหญ่ๆ” อันที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดาวฤกษ์ขอย้ายไปทำงานตามโรงพยาบาลต่างจังหวัด ไปมาหลายครั้งซึ่งกรองแก้วก็เป็นห่วงทุกครั้งเช่นกัน
“หมอมีเป็นร้อยๆ ทำไมต้องเป็นลูกด้วย”
“เพราะผมอยากไปครับคุณแม่” ดาวฤกษ์เอ่ยบอกเหตุผลไป
“โรงพยาบาลเอกชนหรือรัฐบาลดีๆ ในกรุงเทพฯ ก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ ลูกไม่ต้องดิ้นรนไปเจอความลำบากทั้งๆ ที่คนอื่นเขาไม่ต้องการก็ได้นี่ฤกษ์” นั่นเพราะกรองแก้วเคยตามดาวฤกษ์ไปทำงานที่ต่างจังหวัดมาบ้าง จึงเห็นว่าสถาพบ้านพักมีแต่ทรุดโทรม ที่อยู่ที่กินไม่พร้อมสักอย่าง
“คนอื่นจะคิดยังไงก็ช่าง แต่ผมอยากไปจริงๆ คนที่นั่นขาดหมอและถ้าผมไปจะช่วยพวกเขาได้เยอะ”
“ถ้าแม่ห้ามก็เหมือนคนใจร้ายใจดำสินะ”
“ไม่มีใครว่าคุณแม่แบบนั้นหรอครับ ผมรู้ว่าที่ห้ามเพราะคุณแม่เป็นห่วง” ดาวฤกษ์เข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของมารดาดีแต่เขาเองก็มีอุดมการณ์ที่อยากทำเหมือนกัน สุดท้ายกรองแก้วก็เปลี่ยนความคิดของลูกชายคนโตไม่ได้ เธอมีเวรกรรมอะไรนะต่อให้มีลูกชายสองคนก็จริง แต่พอโตขึ้นทั้งสองกลับไม่เคยอยู่ติดบ้าน
ดาวฤกษ์ลูกชายคนโตมีอาชีพเป็นหมอ ต้องเข้าเวรอยู่เวรไม่มีเวลาด้วยซ้ำนี่ยังจะย้ายไปทำงานที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดอีก ส่วนน้องชายอย่างดาวเหนือนั้นเธอส่งไปเรียนต่อที่ต่างประเทศพอเรียนจบก็ทำงานที่นั่น นานๆ ถึงจะกลับมาเมืองไทยสักครั้ง
เพราะแบบนั้นเธอจึงต้องอยู่บ้านคนเดียวเสมอ เหงาก็เหงาอยากเลี้ยงหลานอุ้มหลานเหมือนเพื่อนๆ คนอื่นเขาบ้าง แต่ลูกชายทั้งสองกลับไม่มีวี่แววจะแต่งงานแต่งการเสียที หรือเธอต้องลงมือให้จริงจังกว่านี้เริ่มจากคนใกล้ตัวอย่างดาวฤกษ์ก่อนแล้วกัน
เหตุการณ์ในคืนนั้นยังคงทำให้ราตรีดาวนอนฝันร้ายติดต่อกันหลายวัน แต่ต่อให้ต้องทุกข์ตรมแค่ไหนชีวิตก็ต้องเดินต่อ เธอตื่นไปทำงานทั้งงานปกติและงานพิเศษจากนั้นจึงไปอยู่เฝ้าแม่ ทุกอย่างวนอยู่แบบนี้จนเธอแทบไม่มีเวลาหรือได้ใช้ชีวิตเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ทว่าราตรีดาวกลับไม่เคยเสียใจเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้ราตรีดาวพาตัวเองกลับมาสู่โลกของความจริง
ราตรีดาวเลือกสถานที่ทำงานให้ใกล้กับโรงพยาบาลมากที่สุด โดยทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาลเธอไม่เคยรู้เลยว่ามักจะคลาดกับชายหนุ่มในคืนนั้นเสมอ
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณหมอ”
“เปล่าครับ” เสียงทุ้มของหมอหนุ่มเอ่ยขึ้น เมื่อครู่เขาเหมือนจะได้กลิ่นของเธออีกแล้ว กลิ่นเฉพาะตัวที่เขาไม่เคยลืมมันได้เลย
ดาวฤกษ์ดึงสติกลับมาแล้วเดินไปยังห้องตรวจก่อนที่ราตรีดาวจะเดินออกมาจากมุมของตึก ทั้งสองมักจะคลาดกันอยู่แบบนี้คล้ายกับว่ายังไม่ถึงเวลาที่ทั้งคู่จะได้เจอหน้ากัน
“อ้าว! หนูราตรีดาว” กรองแก้วเอ่ยทักทายหญิงสาวตรงหน้าขึ้นอย่างเป็นกันเอง ซึ่งทันทีที่หันมาเห็นราตรีดาวก็ส่งยิ้มให้แล้วยกมือไหว้ทักทาย
“สวัสดีค่ะ เรียกหนูว่าตรีก็ได้ค่ะ”
“หนูทำงานที่นี่เหรอจ๊ะ”
“ค่ะ” ราตรีดาวพยักหน้ารับ
“โลกกลมจังนะ ไม่คิดว่าเราจะได้เจอกันอีก ถ้าไม่เป็นการรบกวนหนูช่วยหยิบของบนชั้นตรงนั้นให้ฉันหน่อยได้ไหม คนแก่ๆ เอื้อมไม่ถึง” กรองแก้วเอ่ยบอกอันที่จริงเธอหยิบถึงเพียงแค่ต้องการพูดคุยกับราตรีดาวเท่านั้น
“นี่ค่ะ”
“ขอบใจมากนะหนู”
“ค่ะ” ราตรีดาวเอ่ยรับพร้อมกับส่งยิ้มให้ผู้สูงวัยที่ยังดูสาวและสวยกว่าอายุจริง
“ฉันไม่กวนเวลางานหนูดีกว่า หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก”
“สวัสดีค่ะ” เอ่ยสวัสดีเสร็จราตรีดาวก็ยกมือไหว้กรองแก้วอีกครั้ง ก่อนที่ผู้สูงวัยจะเดินไปเลือกซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตต่อ ซึ่งของที่ตั้งใจซื้อหานั้นล้วนแต่เป็นของโปรดของดาวฤกษ์เกือบทั้งหมด ซึ่งเธอมักจะออกมาเดินซื้อจนกลายเป็นหน้าที่ไปแล้วจากนั้นก็จะเอาไปให้ที่คอนโดมิเนียม
การได้เดินดูของในซุปเปอร์คือสิ่งหนึ่งที่กรองแก้วนั้นชอบเพราะมันสามารถทำให้เวลาในแต่ละวันของเธอหมดไปเร็วขึ้น คนแก่ก็แบบนี้มีอะไรให้ทำแค่ไม่กี่อย่าง ยิ่งเห็นคนที่อายุเท่าๆ เธอมาเลือกซื้อของพร้อมลูกๆ หลานๆ ด้วยแล้ว กรองแก้วก็อยากมีกับเขาบ้าง
“ก่อนตายเราจะได้อุ้มหลานกับเขาบ้างไหมนะ” กรองแก้วเอ่ยกับตัวเอง ก่อนจะเช็กบิลแล้วเข็นรถที่วันนี้หนักกว่าปกติเพราะจำนวนของที่มากกว่าทุกครั้งไปยังรถอย่างทุลักทุเลกระทั่งมีใครคนหนึ่งเข้ามาช่วย
“หนูช่วยค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ” พอหันมาเห็นว่าเป็นราตรีดาวกรองแก้วก็เอ่ยขึ้นอย่างยินดี จากปกติที่เอ็นดูเธออยู่แล้วตอนนี้ความเอ็นดูนั้นดูเหมือนจะมีมากขึ้นไปอีก
ราตรีดาวช่วยเข็นกระทั่งถึงรถไม่พอแค่นั้นเธอยังช่วยคนละไม้ละมือกับคนขับรถของกรองแก้วเพื่อจัดข้าวของใส่ท้ายรถอย่างเป็นระเบียบอีกด้วย
“นี่จ้ะ” เอ่ยบอกกรองแก้วก็ยื่นเงินสดเป็นแบงค์พันให้ราตรีดาว
“ให้หนูทำไมคะ”
“ฉันอยากให้ อยากตอบแทนน้ำใจของหนู”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูแค่อยากช่วยไม่ได้อยากหวังอะไรตอบแทน” ราตรีดาวปฏิเสธทันที
“รับไปเถอะ ฉันเองก็อยากให้”
“แต่ว่า…” ราตรีดาวอึกๆ อักๆ ก่อนที่กรองแก้วจะคว้ามือของคนตรงหน้าไว้แล้วมอบเงินให้
“รับเถอะจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะ” สุดท้ายราตรีดาวก็จำต้องรับเงินจำนวนนั้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“แล้วนี่เลิกงานหรือยังจ๊ะ”
“เลิกแล้วค่ะ”
“กำลังจะกลับบ้านใช่ไหม ฉันขอไปส่งนะ” กรองแก้วอาสา เพราะเห็นว่าฝนตั้งเค้ามาแล้วนั่นเอง อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าเด็กสาวตรงหน้าพักอยู่ที่ไหนกับใคร
“ไม่เป็นไรค่ะ บ้านหนูอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง” ราตรีดาวปฏิเสธก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของเธอจะดังขึ้น หญิงสาวรู้ได้ทันทีว่าเป็นสายจากที่ไหนจึงรีบกดรับสายและข่าวร้ายที่ไม่อยากได้ยินก็เกิดขึ้นอีกจนได้
“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าจ๊ะหนู” เพราะเห็นว่าจู่ๆ ราตรีดาวก็เหมือนจะช็อคไปหลังจากรับสาย กรองแก้วจึงเอ่ยถามขึ้นเผื่อว่าเธอนั้นจะช่วยอะไรได้บ้าง
