บทที่ 6
“คือว่าแม่หนูท่านไม่สบาย คุณหมอบอกให้รีบไปโรงพยาบาลด่วน” น้ำเสียงของราตรีดาวสั่นเล็กน้อยเพราะเธอห่วงว่าครั้งนี้แม่จะไม่กลับมาหาอีกแล้ว
“งั้นรีบไป เดี๋ยวฉันให้คนขับรถขับไปส่งเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูนั่งวินมอไซค์ไปได้”
“ไม่ได้ๆ ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว ขึ้นรถเถอะ จะได้รีบไปกัน” กรองแก้วรบเร้า
“ขอบคุณมากค่ะ” ในที่สุดราตรีดาวก็ยอมเข้าไปนั่งในรถคันหรูของกรองแก้ว จากนั้นคนขับรถก็รีบขับพาคนทั้งคู่ไปยังโรงพยาบาล
เมื่อมาถึงยังไม่ทันที่รถจะได้จอดสนิทด้วยซ้ำ ราตรีดาวก็หันมาไหว้ลาพร้อมขอบคุณกรองแก้วแล้วเปิดประตูลงไปจากรถอย่างรีบร้อน
“กลับกันเถอะ ไว้พรุ่งนี้เทิดค่อยมาดูว่าแม่ของหนูตรีเป็นยังไงบ้าง”
“ได้ครับ” คนขับรถของกรองแก้วเอ่ยรับก่อนจะพาเจ้านายมุ่งตรงกลับบ้าน ซึ่งขณะนั้นอาการของแม่ ราตรีดาวนั้นโคม่าอีกครั้งแต่เธอก็ยังไม่ถอดใจที่จะยื้อลมหายใจของแม่ไว้ แม้จะเป็นการยื้อด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ก็ตาม นั่นเพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะรับความสูญเสียจริงๆ
วันรุ่งขึ้นคนขับรถของกรองแก้วก็แวะไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมกับสืบข่าวเรื่องอาการป่วยของแม่ราตรีดาวอย่างละเอียดจากนั้นก็กลับไปรายงานผู้เป็นเจ้านายและทำอยู่แบบนี้ติดกันหลายครั้ง กระทั่งกรองแก้วตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง
“คุณอยากพบหนูเหรอคะ” ราตรีดาวเอ่ยถามเพราะวันนี้จู่ๆ คนขับรถของกรองแก้วก็ไปรอที่ทำงานแล้วบอกว่ากรองแก้วอยากพบ
“ใช่ ฉันพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมแล้วกันนะ”
“ค่ะ”
“ฉันรู้เรื่องแม่ของหนูที่กำลังป่วยรวมถึงเรื่องที่หนูยังไม่ได้จ่ายค่ารักษาก้อนใหญ่ให้กับทางโรงพยาบาล” จากที่คนขับรถส่วนตัวสืบข่าวมาได้คืออีกไม่กี่วันราตรีดาวต้องจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลของแม่ซึ่งยอดเงินไม่ใช่น้อยๆ
“ค่ะ”
“ฉันจะช่วยแต่ก็ไม่ได้ช่วยฟรีๆ หรอกนะ เพราะมีข้อแม้อยู่เหมือนกัน”
“ข้อแม้หรือคะ”
“ใช่ หนูช่วยฟังข้อแม้ของฉันก่อนแล้วค่อยให้คำตอบก็ได้ว่าจะรับหรือไม่รับความช่วยเหลือจากฉัน”หัวใจของราตรีดาวเต้นรัวรู้สึกกลัวกับการรับฟังข้อแม้ที่ว่าอย่างบอกไม่ถูก กรองแก้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมา ว่าเธอนั้นอยากให้ราตรีดาวไปอยู่กินกับลูกชายตัวเองในฐานะสามีภรรยา โดยเธอจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวของแม่ ราตรีดาวให้ทั้งหมดรวมทั้งยังจะให้เงินสดอีกก้อนหนึ่งเพื่อรับขวัญ
ทุกๆ คำที่ได้ยินทำให้ราตรีดาวช็อค เธอนั่งก้มหน้าพร้อมกับบีบมือตัวเองตลอดเวลา หัวคิ้วได้รูปขมวดเป็นปมเข้าหากันบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังเครียด ถ้ายอมทำตามข้อเสนอของกรองแก้วจะไม่เท่ากับว่าเธอขายตัวอย่างนั้นเหรอ แต่ถ้าไม่ทำแล้วเธอจะหาเงินจากไหนมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลของแม่ได้ทันกำหนด อีกอย่างสิ่งที่เธอหวงแหนมาตลอดชีวิตก็สลายไปแล้วในคืนนั้น ร่างกายของเธอมันเต็มไปด้วยคราบสกปรกที่จะพยายามเท่าไหร่ก็ล้างออกได้ไม่หมด
“ทำไมถึงเป็นหนูคะ”
“ฉันไม่ได้ยื่นข้อเสนอให้เพราะเห็นว่าหนูลำบากหรอกนะ แต่ฉันเอ็นดูมากจริงๆ ไม่แน่ว่าชาติก่อนเราอาจเคยทำบุญร่วมกันมา” รอยยิ้มของกรองแก้วนั้นอบอุ่นไม่ได้แฝงความเจ้าล่ห์อะไรไว้เลยแม้แต่น้อย
“หนูขอบคุณที่คุณเอ็นดู แต่หนูขอปฏิเสธได้ไหมคะ” น้ำเสียงของราตรีดาวนั้นสั่นเทาเล็กๆ สีหน้าก็ยังคงเต็มไปด้วยความกังวลที่กรองแก้วเองก็สัมผัสได้
“ฉันขอฟังเหตุผลหน่อยได้ไหมว่าเพราะอะไรถึงปฏิเสธ”
“หนูผ่านมือผู้ชายมาแล้ว คงไม่เหมาะที่จะไปดูแลลูกชายคุณในฐานะภรรยาที่คู่ควร” ราตรีดาวเอ่ยบอกเพราะฐานะของเธอกับคนตรงหน้าแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทว่าคำพูดอย่างตรงไปตรงมาแต่มันกลับได้ใจกรองแก้ว
“ลูกชายฉันก็ผ่านมือผู้หญิงมาแล้วเหมือนกัน เผลอๆ จะเยอะกว่าหนูด้วยซ้ำ ในเมื่อตัวเองยังทำไม่ได้ทำไมต้องคาดหวังจากคนอื่น อีกอย่างผู้หญิงเราไม่ได้วัดคุณค่าของตัวเองด้วยเยื่อพรหมจรรย์นั่นหรอก ใช่ไหม” กรองแก้วมองมาที่ราตรีดาวด้วยแววตาของความเอ็นดูเสมอ
“แต่ว่า…”
“ลูกชายฉันไม่ใช่คนพิการ ไม่ใช่เกย์หรือผิดเพศ หน้าตาก็หล่อใช้ได้ เขาทำงานเป็นหมอแต่เพราะงานจึงไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น อีกอย่างฉันก็แก่ลงทุกวันจะตายวันตายพรุ่งก็ยากจะเดา ก่อนตายฉันก็อยากเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝาสร้างครอบครัว ถ้าเป็นแบบนั้นได้จริงๆ ฉันก็คงตายตาหลับ” นั่นคือความฝันที่กรองแก้วกำลังจะทำให้มันเป็นจริง ต่อให้จะเป็นการคลุมถุงชนลูกชายก็ตาม
“แล้วลูกชายคุณรู้เรื่องนี้ไหมคะ”
“ยังไม่รู้แต่ฉันเชื่อว่าหนูกับลูกชายฉันจะเข้ากันได้ ส่วนนี่ก็เงินค่ารักษาพยาบาลของแม่หนูแล้วนี่ก็เงินที่ฉันจะให้หนูก่อนล่วงหน้า” เอ่ยจบกรองแก้วก็ยื่นซองสีน้ำตาลให้ราตรีดาวสองปึก ซึ่งในซองนั้นคือเงินสด
ราตรีดาวพยายามส่งเงินเหล่านั้นคืนให้กรองแก้วแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับและบอกให้เธอเก็บไว้กับตัวก่อน ไม่กี่นาทีต่อจากนั้นราตรีดาวก็ขอตัวกลับเธอนั่งเหม่อมาตลอดทางกระทั่งถึงบ้านหลังเก่าๆ ที่ทรุดโทรมลงไปทุกวันของตัวเอง
สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความสับสนก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเก่าที่ใช้งานมาแล้วหลายปี ขณะที่ในมือคือเงินสดก้อนใหญ่ที่สุดที่เธอเคยมีก็ว่าได้ แต่จู่ๆ ราตรีดาวก็ได้ยินเสียงดังมาจากห้องครัวนั่นทำให้เธอหน้าตาตื่นแล้วรีบเข้าไปดู
“อยู่บ้านยังไงไม่มีอะไรให้แขกกินเลย” เมื่อรู้ว่าเจ้าของบ้านกลับมาแล้ว คนที่มีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆ เอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่พอใจ นั่นเพราะนานๆ ตนจะออกจากบ่อนมาเยี่ยมหลานสาวสุดที่รักสักครั้ง แต่พอมาถึงก็หิวจึงเข้าไปหาอะไรกินแต่กลับมีแค่น้ำเปล่า
“ลุงกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ราตรีดาวเอ่ยถามอย่างตกใจเพราะปกติคมสันไม่ได้อยู่ที่นี่ ขนาดงานศพของพ่อเธอก็มาร่วมแค่วันเผา ส่วนแม่ที่เป็นน้องสาวแท้ๆ ก็แทบไม่เคยไปเยี่ยมหรือช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายสักบาท
“วันนี้” คมสันเอ่ยบอกพร้อมกับกวาดสายตามองหาอะไรก็ตามที่จะขนออกไปขายเป็นเงินได้ กระทั่งเห็นซองสีน้ำตาลในมือของหลานสาวอย่างราตรีดาว “ในมือนั่นซองอะไร”
“ไม่มีอะไร” เมื่อเห็นสายตาของลุงจับจ้องมายังของในมือนั่นทำให้ราตรีดาวรีบเอามันหลบทันที ท่าทางหวงแหนของเธอยิ่งทำให้คมสันสนใจและยังฟันธงว่าต้องเป็นของมีค่าหรือไม่ก็เงินสดอย่างแน่นอน
