ตอนที่ 1: อาทิตย์อุทัย
เสียงโน้ตเปียโนสั้นๆ ดังขึ้นสี่ครั้งก่อนจะเงียบไป ตะวันลืมตาขึ้นก่อนที่เสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือจะดังซ้ำเป็นครั้งที่สอง เวลาบนหน้าจอคือตีห้าสามสิบนาทีพอดี แสงแรกของวันใหม่เริ่มทาบทาบขอบฟ้ากรุงเทพฯ ส่องลอดผ่านม่านโปร่งสีครีมเข้ามาในห้องนอน ขับไล่ความมืดให้จางหายไป
เธอพนมมือขึ้นบนอก กล่าวคำขอบคุณพระเจ้าสำหรับเช้าวันใหม่อย่างเงียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง ผ้าห่มถูกดึงให้เรียบตึง หมอนหนุนถูกจัดวางกลับเข้าที่อย่างเป็นระเบียบจนเตียงนอนกลับสู่สภาพสมบูรณ์เหมือนไม่มีใครเคยใช้งานมาก่อน กิจวัตรเหล่านี้เป็นเหมือนลมหายใจของเธอ การกระทำที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องใช้ความคิด
ห้องในคอนโดของเธอสะท้อนตัวตนที่เป็นระเบียบและรักสงบ พื้นไม้สีอ่อนสะอาดสะอ้าน เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นถูกจัดวางอย่างลงตัว บนโต๊ะข้างเตียงมีพระคัมภีร์ปกหนังสีน้ำตาลเข้มวางอยู่คู่กับโคมไฟเล็กๆ ไม่มีสิ่งใดวางอยู่อย่างไม่เป็นที่
หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ตะวันในชุดอยู่บ้านเรียบๆ ก็มานั่งลงที่โต๊ะอาหารเล็กๆ ข้างหน้าต่าง เธอไม่ได้เปิดโทรทัศน์หรือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไถดู แต่เปิดพระคัมภีร์บทเดิมที่คั่นค้างไว้เมื่อวาน กิจกรรมการเฝ้าเดี่ยวในตอนเช้าคือการเตรียมจิตใจให้พร้อมเผชิญโลกภายนอก เธออ่านบทสดุดีช้าๆ ทบทวนความหมายของแต่ละถ้อยคำ ก่อนจะหลับตาลงและอธิษฐานขอให้พระองค์นำทางเธอตลอดทั้งวัน
อาหารเช้าคือโยเกิร์ตที่เธอทำเอง ใส่ผลไม้สดและกราโนล่า ระหว่างทาน เธอจดรายการของที่ต้องทำในสัปดาห์หน้าลงในสมุดบันทึกเล่มเล็ก ทุกอย่างถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าเสมอ
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ วันที่เธอรอคอยที่สุดในสัปดาห์
ตะวันสวมชุดเดรสผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดตาที่ยาวคลุมเข่า เธอมองตัวเองในกระจกและยิ้มออกมา รวบผมยาวสีน้ำตาลเข้มเป็นหางม้าอย่างเรียบร้อย แต่งหน้าเพียงบางๆ ให้ดูเป็นธรรมชาติ ก่อนออกจากห้อง เธอเปิดตู้เย็นหยิบกล่องเค้กกล้วยหอมขนาดใหญ่ที่อบเสร็จใหม่ๆ เมื่อคืน กลิ่นเนยและกล้วยหอมฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง สร้างความรู้สึกอบอุ่น
โบสถ์คาทอลิกเก่าแก่ที่เธอไปเป็นประจำยังคงดูสง่างามไม่เปลี่ยน แปลง แสงแดดยามสายส่องผ่านกระจกสีบานเย็นสูงลงมากระทบพื้นหินอ่อนเป็นลวดลายสีรุ้ง กลิ่นไม้เก่าและกำยานจางๆ ทำให้จิตใจของเธอสงบลงทันทีที่ก้าวเข้าไป
"ตะวัน! มาแล้วเหรอ" เสียงใสๆ ของมีนาดังขึ้นจากแถวหน้า เธอโบกมือให้เพื่อนรัก ตะวันยิ้มกว้าง เดินเข้าไปหาพร้อมกับยื่นกล่องเค้กให้
"เราอบมาเผื่อน่ะ"
"โห! น่ากินที่สุดเลย ขอบใจมากนะ" มีนาพูดอย่างตื่นเต้น "เดี๋ยวเราเอาไปเก็บไว้ที่ห้องกิจกรรมก่อนนะ ทุกคนต้องดีใจแน่ๆ"
ตะวันมองตามหลังเพื่อนสนิทไปพลางยิ้ม เธอและมีนาเติบโตมาด้วยกันในชุมชนแห่งนี้ ความผูกพันของพวกเธอเรียบง่ายและมั่นคงเหมือนม้านั่งไม้โอ๊คที่ตั้งเรียงรายอยู่ในโบสถ์แห่งนี้มานานหลายสิบปี
ไม่นานนัก คุณพ่อฟรังซิสก็เดินออกมาทักทายเหล่าสัตบุรุษด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเมตตาเช่นเคย ท่านหยุดคุยกับตะวันครู่หนึ่ง "ดูสดใสนะตะวันวันนี้"
"ค่ะคุณพ่อ วันของพระเจ้าต้องสดใสอยู่แล้วค่ะ" เธอตอบอย่างนอบน้อม
พิธีมิสซาเริ่มต้นขึ้น เสียงออร์แกนดังกังวานขับขานบทเพลงศักดิ์สิทธิ์ ตะวันยืนอยู่ท่ามกลางคณะนักร้องประสานเสียง เสียงของเธอใสกังวานและเปี่ยมด้วยศรัทธา เธอมองขึ้นไปยังไม้กางเขนขนาดใหญ่เหนือแท่นบูชา หัวใจรู้สึกอิ่มเอมและปลอดภัย ที่นี่คือบ้าน คือที่พักพิงหนึ่งเดียวของเธออย่างแท้จริง
หลังพิธีจบลง ตะวันยังคงอยู่ช่วยงานที่โบสถ์ต่ออีกเล็กน้อย เธอช่วยมีนาจัดดอกไม้สำหรับสัปดาห์หน้า พูดคุยให้กำลังใจสมาชิกคนอื่นๆ ในชุมชน ทุกคนต่างก็รักและเอ็นดูเธอในฐานะ "ดวงอาทิตย์" ดวงน้อยที่นำพาความสดใสมาให้เสมอ
วันจันทร์
ความสงบสุขของวันอาทิตย์เลือนหายไปทันทีที่ตะวันก้าวเท้าเข้าสู่อาคารสำนักงานสูงเสียดฟ้าใจกลางเมือง บรรยากาศภายในเย็นเฉียบด้วยเครื่องปรับอากาศและเต็มไปด้วยความเร่งรีบของเหล่าพนักงานออฟฟิศ แสงจากหลอดไฟนีออนสีขาวสว่างจนแสบตา
ถึงกระนั้น ตะวันก็ยังคงเป็นตะวัน เธอยิ้มทักทายทุกคนที่เดินสวนกันอย่างเป็นมิตร วางกระปุกคุกกี้ที่อบเพิ่มเมื่อคืนไว้ที่โต๊ะส่วนกลางเป็นของว่างสำหรับทุกคน
"อรุณสวัสดิ์ค่ะพี่ก้อย อรุณสวัสดิ์นัท" เธอทักทายรุ่นพี่และรุ่นน้องในทีมที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กัน
"จ้ะ" พี่ก้อย หรือ กชกร ตอบรับสั้นๆ ขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
"หวัดดีครับพี่ตะวัน" นัท หรือ ณัฐวุฒิ หันมายิ้มให้ แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูเร่งรีบ
เก้าโมงเช้า ทุกคนในทีมการตลาดถูกเรียกเข้าประชุมวาระด่วนเรื่องโปรเจกต์ใหญ่ปลายปี วิรัช หัวหน้าแผนก นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
"อย่างที่ทุกคนทราบ โปรเจกต์นี้สำคัญกับบริษัทเรามาก และตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เราต้องเลือกคนที่จะมาเป็นหัวหน้าโปรเจกต์นี้อย่างเป็นทางการ" อานนท์กล่าวเปิดประชุม "วันนี้ผมอยากให้ตะวันช่วยสรุปภาพรวมและแผนงานทั้งหมดที่ได้เตรียมไว้ให้ทุกคนฟังอีกครั้ง"
ตะวันพยักหน้ารับ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มต้นการนำเสนอ แผนงานที่เธอเตรียมมานั้นละเอียดและครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการวิเคราะห์ตลาด, กลยุทธ์, และงบประมาณ เธอตอบคำถามจากทีมอื่นได้อย่างฉะฉานและมั่นใจ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจใน
โปรเจกต์อย่างลึกซึ้ง
เธอรู้สึกได้ถึงสายตาชื่นชมจากวิรัช แต่ในขณะเดียวกัน หางตาของเธอก็สังเกตเห็นพี่ก้อยที่นั่งนิ่ง ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะเบาๆ ส่วนนัทก็เอาแต่ก้มหน้าจดบันทึกโดยไม่มองหน้าเธอเลย
"ยอดเยี่ยม" วิรัชพูดด้วยน้ำเสียงพึงพอใจหลังการนำเสนอจบลง "ชัดเจนมากตะวัน ผมคิดว่าทุกคนคงเห็นตรงกันนะว่าใครเหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้"
สิ้นเสียงของวิรัช พี่ก้อยก็เงยหน้าขึ้นมายิ้ม "แน่นอนค่ะหัวหน้า ตะวันเขาเก่งและทำงานหนักมาตลอด แต่โปรเจกต์นี้ใหญ่มากนะคะ อาจจะต้องมีคนคอยช่วยดูแลภาพรวมอีกที เผื่อมีอะไรผิดพลาด"
"ใช่ครับ ผมเห็นด้วยกับพี่ก้อย" นัทรีบเสริมขึ้นทันที "พวกเราในทีมทุกคนพร้อมซัพพอร์ตตะวันเต็มที่เลยครับ"
ตะวันยิ้มรับคำพูดของทั้งสอง "ขอบคุณมากนะคะพี่ก้อย, นัท ฝากตัวด้วยนะคะ" เธอคิดในใจอย่างซื่อๆ ว่าทุกคนคงเป็นห่วงเธอจริงๆ
การประชุมจบลงด้วยบรรยากาศที่ดูเหมือนจะราบรื่น
ช่วงบ่าย ตะวันได้รับโทรศัพท์จากนนท์ แฟนหนุ่มของเธอ
"คนเก่งของผม! ได้ข่าวว่าพรีเซนต์ผ่านฉลุยเลยนะ" เสียงของนนท์ร่าเริงและเต็มไปด้วยความภูมิใจ
"รู้ได้ยังไงคะเนี่ย" ตะวันหัวเราะเบาๆ
"ก็ต้องรู้อยู่แล้วสิครับ สุดสัปดาห์นี้เราไปฉลองกันนะ ผมจองร้านอาหารโปรดของคุณไว้แล้ว"
"ขอบคุณนะคะนนท์"
บทสนทนาสั้นๆ นั้นทำให้ความเหนื่อยล้าของเธอหายเป็นปลิดทิ้ง ชีวิตของเธอดูเหมือนจะไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลยจริงๆ
เย็นวันนั้นหลังเลิกงาน ขณะที่ตะวันกำลังเก็บของเตรียมกลับบ้าน พี่ก้อยก็เดินเข้ามาหาที่โต๊ะ
"เหนื่อยหน่อยนะตะวัน" เธอพูดพร้อมรอยยิ้มที่ดูอ่านยาก "ดีใจด้วยนะเรื่องตำแหน่ง... แต่ก็อย่าประมาทล่ะ ตำแหน่งสูงความรับผิดชอบก็ยิ่งสูงตาม"
"ขอบคุณค่ะพี่ก้อย ตะวันจะพยายามให้ดีที่สุดค่ะ"
"ดีแล้ว" พี่ก้อยตบไหล่เธอเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป
ตะวันกลับถึงคอนโดในตอนค่ำ เธอทำกิจวัตรทุกอย่างเหมือนเดิม ทำอาหารเย็น, โทรคุยกับมีนา, และเตรียมตัวสำหรับการทำงานในวันพรุ่งนี้
ก่อนนอน เธอคุกเข่าลงข้างเตียง สวดภาวนาขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันที่ดีอีกหนึ่งวัน เธอขอบคุณสำหรับความสำเร็จในหน้าที่การงาน, สำหรับคนรักและเพื่อนที่ดี, และอธิษฐานขอพรให้เธอมีความถ่อมตนและสติปัญญาในการทำงานชิ้นใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า ไม่ลืมที่จะอธิษฐานเผื่อเพื่อนร่วมงานทุกคน... ขอให้พระองค์ประทานสันติสุขให้แก่พวกเขา
หลังจากสวดภาวนาจบ เธอจึงลุกขึ้นเดินไปแปรงฟันในห้องน้ำ
เธอมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงาแล้วยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความหวังและความสุข
แต่แล้ว... เป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น... ที่รอยยิ้มนั้นแข็งค้างไป แววตาในกระจกที่เคยดูอ่อนโยนกลับดูว่างเปล่าและเย็นชาลงอย่างประหลาด ราวกับว่าคนที่เธอมองอยู่ไม่ใช่ตัวเธอเอง แต่เป็นคนอื่น... คนที่กำลังประเมินสถานการณ์อย่างเยือกเย็น
ตะวันสะดุ้งเล็กน้อย หัวใจเต้นผิดจังหวะไปหนึ่งที เธอกระพริบตาถี่ๆ และจ้องเข้าไปในกระจกอีกครั้ง
ภาพนั้นก็หายไป เหลือเพียงหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มสดใสคนเดิมยืนอยู่ตรงหน้า
เธอถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางใช้น้ำลูบหน้า
สงสัยจะเหนื่อยเกินไปจริงๆ นั่นแหละ