บท
ตั้งค่า

10.เอสวา

6ปีที่แล้ว

พระสันตะปาปาที่3นามว่ามาคิวลัสยกมือขึ้นมานวดหว่างคิ้วเบาๆ

“ท่านผู้นำศาสนา..ได้โปรดวางใจ สงครามที่จะเกิดขึ้นมาในจักรวรรดินั้นล้วนแล้วแต่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา ทั้งจักรวรรดิและเวสเทาต่างก็นับถือในพระเจ้าเหมือนๆ กัน เพราะอย่างนั้นต่อให้ทั้งสองฝ่ายฟาดฟันกันให้ตายตกไปข้างหนึ่ง..วิหารศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่..”

คาดินันแคนนอนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องนั้นมันก็ใช่ ทว่าแคนนอน เราต้องการมากกว่านั้นนะสิ..ในช่วงเวลาที่ทั้งสองมหาอำนาจกำลังบาดหมางและหันคมดาบสาดใส่กัน วิหารจะมองดูเฉยๆอย่างนั้นหรือ นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เราจะเก็บเกี่ยวอำนาจมาไว้ให้มากที่สุดอย่างนั้นหรือ..”

ในช่วงเวลาที่ทุกหย่อมหญ้าแดงฉานไปด้วยเลือด ประชาชนทั้งหวาดกลัวและสิ้นหวังเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สงครามจะจบลงและไม่รู้ว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่จะชนะ สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดในยามนี้คือ..ศรัทธาและสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจ

วิหารต้องเกี่ยวเก็บช่วงเวลาที่แสนเศร้าของพวกประชาชนเอาไว้ แล้วแทนที่ความโศกเศร้าเหล่านั้นด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า

“นำเด็กคนนั้นออกมาได้แล้ว เด็กที่เจ้าเก็บซ่อนเขาเอาไว้ก็เพื่อโอกาสนี้ไม่ใช่รึไง?”

แคนนอนก้มหน้าลงเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าการเก็บซ่อนเอสวาของเขานั้นจะไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของท่านผู้นำศาสนาได้

“เด็กคนนั้นยังต้องฝึกอีกเยอะครับ ข้าแค่เดาเท่านั้นเองว่าเขาคือเด็กในคำทำนาย แต่ทว่าก็ยังไม่แน่ชัดเพราะว่าเขา..ยังไม่แสดงให้ข้าเห็นถึงพลังวิเศษอะไรเลย”

พระสันตะปาปาหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาเดินเข้าไปตบลงบนไหล่ของแคนนอน

“นี่คือ..คำสั่งแคนนอน ให้เขาเฉิดฉายและเปล่งประกายออกมาในเมืองเล็กๆ ที่เจ้าอยู่ แสงแห่งความหวังพวกนั้นจะนำพาเขาให้มาที่นี่ที่วิหารแห่งนี้เพื่อมาเป็นกำลังอันสำคัญให้ข้า..เขาคือเด็กที่อยู่ในคำทำนายอย่างแน่นอนข้ามั่นใจ และข้าก็คิดว่าเจ้าเองก็คงจะมั่นใจเช่นเดียวกัน..”

น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของท่านผู้นำศาสนา ทำให้แคนนอนรู้สึกได้ถึงพลังความกดดันที่กดทับลงมาบนไหล่ของเขา

“ครับ..ท่านผู้นำศาสนา”

มีคำทำนายได้ถูกพระราชทานมาจากพระสันตะปาปาที่2ก่อนที่ท่านจะสิ้นลมหายใจ เด็กที่เป็นดั่งลมหายใจของพระเจ้าจะลงมาจุติบนโลกในนี้ ตามหาเด็กคนนั้นให้พบแล้วเลี้ยงดูเขาให้ดีเพื่อให้วิหารมีอำนาจรุ่งเรืองสืบต่อไป ทว่าหากไม่พบเจอหรือว่าเด็กคนนั้นมิได้เดินทางมาที่วิหาร..วิหารศักดิ์สิทธิ์จะสิ้นชื่อและเมื่อนั้นเหล่าปีศาจจะผุดขึ้นมาจากดินและเบ่งบานไปทั่วจักรวรรดิเพื่อกลืนกินจิตวิญญาณของมนุษย์ ความหายนะ จะเกิดขึ้นมาในทุกหย่อมหญ้า

อันที่จริงในยามที่พระสันตะปาปาที่3ขึ้นเป็นผู้นำศาสนา นี่ก็เป็นความหายนะแล้ว..มาคิวลัสใช้เงินมากมายไปกับสตรีและมีภรรยามากกว่า3นาง มีลูกนอกสมรสอีกนับไม่ถ้วน ประชาชนเอือมระอาและสิ้นศรัทธาไปนานแล้ว แต่เขากลับคิดจะใช้เด็กน้อยที่แคนนอนตามหามาด้วยความยากลำบากเพื่ออุดรอยรั่วในความชั่วช้าของตัวเอง..

เอสวา..เด็กน้อยที่แสนน่าสงสาร

แคนนอนพบเจอเอสวาครั้งแรกในตอนที่เด็กน้อยมีสภาพบาดเจ็บรุนแรง ถูกทุบตีจนเขียวช้ำไปทั่วทั้งตัวจากมารดาผู้ให้กำเนิด

“เจ้าโกรธแค้นมารดาของเจ้าหรือไม่เด็กน้อย”

เอสวาตอบกลับมาในสภาพที่แทบไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงใดๆ เลย

“ข้าไม่โกรธท่านแม่หรอกครับ ท่านแม่เจ็บปวดมากกว่าข้าเยอะเลยในช่วงเวลาที่ท่านหาเงินมาซื้ออาหารให้ข้า”

ในบางครั้งเด็กน้อยเกิดความสงสัยว่าหากไม่มีเขา ท่านแม่จะสบายมากกว่านี้รึเปล่า หากไม่มีเขาท่านแม่ก็ไม่ต้องทำงานหนัก..เช่นนั้นเพื่อท่านแม่แล้ว การไม่มีเขาน่าจะดีกว่า

เอสวานั่งอยู่ที่ริมทะเลสาบนานมากพอสมควร เขานั่งมองผืนน้ำที่ถูกลมพัดจนเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา และเมื่อดวงตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า เขาจึงตัดสินใจกระโดดลงไปในนั้น..

เพื่อตาย เพื่อที่จะตายและเพื่อให้ท่านแม่มีความสุข

แคนนอนพบเจอร่างของเอสวาพอดี ในช่วงเวลาที่สายน้ำพัดพา เขาไม่รู้ว่าเด็กน้อยจมน้ำนานมากแค่ไหน และไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเอสวาถึงถูกทำร้ายมากขนาดนั้น

เขาแตะลงไปที่ปลายจมูกของเอสวาปรากฏว่าเด็กน้อยสิ้นลมหายใจไปนานมากแล้ว เนื้อตัวเย็นจัดจากการจมน้ำเป็นเวลานาน..ทว่าในใจของแคนนอนนั้นเกิดความเศร้าโศกขึ้นมา เขานั่งลงพร้อมกับอธิษฐานและวิงวอนต่อพระเจ้า

“เด็กน้อยผู้นี้..น่าสงสารมากเหลือเกิน ได้โปรดให้โอกาสเขาอีกสักครั้งเถิดครับ ครั้งนี้ข้าจะดูแลเขาเอง..ไม่ให้เขาพบเจอกับความเจ็บปวดเหมือนกับช่วงเวลาที่ผ่านมา”

ในทุกความสิ้นหวังนั้นมีโอกาสอยู่เสมอ แคนนอนไม่อยากจะเชื่อสายตาเช่นกันว่าเขาจะพบเจอเอสวาที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย ถึงแม้ว่าจะเบาบางแต่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังที่แสนอบอุ่นของพลังศักดิ์สิทธิ์

นี่คือเด็กน้อยในคำทำนายไม่ผิดแน่ เขาพาเอสวากลับไปหามารดาของเอสวา และจ่ายเงินก้อนโตให้แก่สตรีผู้นั้น แน่นอนว่านางรับเงินก้อนนั้นแทนที่จะจับแขนของลูกชายที่ยื่นมือไปหานาง

“อย่าพาเขา..กลับมาที่นี่อีกนะคะ พาเขาไปให้ไกลที่สุด อย่าให้ข้าเห็นหน้าเขาอีก!!”

คำสุดท้ายที่มารดาของเอสวากล่าวกับลูกชายนั้นโหดร้ายมากทีเดียว นับจากนั้นเป็นต้นมาเอสวาก็อยู่ในวิหารด้วยความดูแลของแคนนอน..และเป็นเพชรที่เปล่งประกายมากที่สุดในโบสถ์เล็กๆ หลังนี้ เอสวาช่วยเหลือผู้อื่นและปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้าอย่างเคร่งครัดจนแคนนอนรู้สึกหายเหนื่อยไปได้เยอะ

ทว่าเมื่อเขาอายุได้19ปี เอสวากลับไปหาท่านแม่ของเขาอีกครั้งโดยที่แคนนอนเองก็ไม่รู้

ท่านแม่ที่แก่ชรานั้นไม่ได้ทำอาชีพโสเภณีอีกแล้ว แต่ทำหน้าที่ทำความสะอาดซ่องโสเภณีและร้านสุรา กาลเวลาทำให้ท่านแม่ผู้งดงามของเขานั้นไม่งดงามอีกต่อไป

เอสวานั่งลงข้างๆ ท่านแม่ที่กำลังล้างจานท่ามกลางหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมา

“เหนื่อยไหมครับ?”

หญิงผู้นั้นมองหน้าเอสวาก่อนที่นางจะพยักหน้า

“เช่นนั้น..ท่านควรได้พักแล้วนะครับ ท่านไม่ควรมาทำงานท่ามกลางอากาศเช่นนี้..ข้าจะช่วยให้ท่านได้พักผ่อนนะครับ”

อีกฝ่ายไม่พูดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ มารดาของเขายังคงนั่งล้างจานต่อไป ส่วนเอสวา..เขานั่งเงียบๆ ตรงนั้นอีกพักหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นมาแล้วเดินทางกลับไปที่โบสถ์

วันรุ่งขึ้นแคนนอนรีบวิ่งมาหาเขาพร้อมกับจดหมายในมือ

“เอสวา..ข้าไม่อยากจะบอกกล่าวเรื่องนี้กับเจ้าเท่าไหร่นัก เเต่เจ้าก็ควรจะรับรู้เอาไว้สักหน่อยว่าท่านแม่ของเจ้านั้น..เสียชีวิตแล้ว”

เอสวาเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่เขาจะกุมสร้อยไม้กางเขนของตัวเองเอาไว้

“ช่างน่า..เสียใจมากเหลือเกินครับ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel