ตอนที่ 19 กลบเกลื่อน
EP19
.
.
.
“เธอพูดอะไรออกมา คิดว่าคนอย่างฉันจะชอบคนอย่างเธอรึงะ…”
“หนูถาม”
“เหอะ…ฉันเป็นคนทำเรื่องนั้นแล้วมันยังไง ต้องแปลว่าฉันชอบเธองั้นสิ” เพิร์ธเค้นหัวเราะออกมาราวกับว่าสิ่งที่กระถินกำลังถามมันตลกนักหนากลับกับความรู้สึกข้างในที่เริ่มสั่นไหวเมื่อถูกถามในสิ่งที่ตัวเองกำลังลังเลมาตลอด…
“ถ้าไม่ได้ชอบแล้วทำทำไมคะ ก็ตอบหนูมาตามตรงสิ”
“สงสาร สมเพช เพราะการที่เธอมาอยู่กับฉัน ไม่ได้มีงาน มีเงิน ฉันเลยบอกให้คนของฉันช่วย”
“ค่ะ แต่หนูคิดว่ามันคงไม่จำเป็น ถ้าไม่ได้ชอบก็อย่าแสดงท่าทางอะไรให้หนูคิดก็พอ”
“คนอย่างฉันมีผู้หญิงเป็นร้อยคอยต่อคิวจะขึ้นเตียงด้วย คิดว่าฉันจะชอบผู้หญิงสกปรกอย่างเธอรึไง เธอมันก็เหมือนพี่สาวเธอนั้นแหละ เชื้อไม่ทิ้งแถวหรอก…”
กระถินเหยียบยิ้มออกมาเมื่อได้ฟังคำตอบที่แท้จริง เธอกำลังหวังอยากได้ยินอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงได้แอบเจ็บกับคำพูดร้ายกาจจากคนใจร้าย ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายถามเธอก็ควรดีใจไม่ใช่หรอที่คำตอบมันเป็นแบบนี้…
“เข้าใจแล้วค่ะ ระหว่างเราจะไม่มีความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น ไม่มีวัน จบเรื่องนี้เมื่อไหร่หวังว่าเราคงเป็นแค่คนเคยรู้จักกัน…”
“กระถิน!”
“หนูขอตัวก่อนนะคะ…” เธอทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก็เดินออกมาจากห้อง ปลายนิ้วจิกลงที่กางเกงพยายามอดกลั้นความรู้สึกตัวเองไม่ให้ถลำลึกไปมากกว่านี้
“ท่องไว้กระถิน เขาไม่ใช่ผู้ชายที่จะไปคิดอะไรด้วย…”
.
.
.
วันถัดมา…
“แน่ใจแล้วหรอว่าหายดีแล้ว?”
“ก็ยังไม่ตาย เตะปากคนได้ด้วย”
“นายดูหงุดหงิดนะ”
“ถามมาก น่ารำคาญ”
“เค งั้นเอาที่สบายใจเถอะ” เชษตอบออกไปส่งๆเมื่อเห็นคนตรงหน้าที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้ามีท่าทีไม่สบอารมณ์นัก เขาจ้องมองชายหนุ่มที่ตัวเองมีหน้าเป็นทั้งพี่เพื่อนและลูกน้อง นับได้ว่าเป็นทุกอย่าง…
“แล้วนี้จะกลับคอนโดหรือจะกลับบ้าน”
“คอนโด”
“เรื่องยาก็เพลาๆลงบ้างนะ ข้าวต้มโรงบาลมันไม่ได้อะไรนักหรอก…”
“…” เขาเพียงปรายตามองในตอนที่กำลังพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น เหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย ทำให้เชษถอนหายใจออกมาจากความทะเยอทะยาน ดื้อรั้น ไม่ฟังใครของชายหนุ่ม…
“เอาเถอะ กลับกัน…” เชษตัดบทแล้วเดินนำออกมาจนถึงรถของเพิร์ธที่การ์ดขับมารอไว้แล้ว
“วันนี้ฉันไม่กลับ ไม่ต้องมาหาที่ห้อง”
“พึ่งบอกไปเมื่อกี้เองนะ…”
“แล้วฟังซะที่ไหน” นํ้าเสียงเนือยๆตอบออกไปไม่ใส่ใจนัก ร่างหนาสอดตัวเข้าไปนั่งในรถคันหรูของตนเองแล้วขับเคลื่อนออกไปด้วยความเร็วสูงตามอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านมาตั้งแต่เมื่อวาน…
-กระถิน-
“เจ๊…วันนี้ดูเศร้าแปลกๆนะ เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงของไอ้เต้มันถามขึ้น สายตาจับจ้องมาที่ฉันซึ่งกำลังเขี่ยข้าวในจานเล่นด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย…
“เปล่า”
“คิดมากเรื่องนั้นหรอ ไม่น่าเชื่อเลยว่าไอ้นั้นมันเป็นเจ้าของที่นี้ แถมยังเป็นคนสั่งให้เจ๊ได้มาทำงานที่นี้อีก”
แปะ!…
“มันใช่ประเด็นรึไง ไม่รู้สึกผิดบ้างเลยหรอ สองคนนั้นที่เรามาแทนที่เขาป่านนี้จะรู้สึกยังไงบ้างไม่รู้ที่จู่ๆถูกไล่ออก” ฉันตบเข้าที่แก้มมันหนึ่งฉาดทำเอาข้าวแทบพุ่ง พูดแล้วก็ยังรู้สึกผิดอยู่เลย ตอนนี้เป็นช่วงพักเที่ยงซึ่งเราสลับกะกันมากินข้าว เพราะถึงเวลาแบบนี้คนในร้านก็ยิ่งเยอะ…
“รู้สึกผิดก็ไปเคลียร์ดิเจ๊ หรือจะลาออก ถ้าลาออกลองคิดดูดีๆนะว่าเราจะหางานที่ไหนทำ แถมยังต้องเผื่อเวลาไว้สืบเรื่องนั้นอีก…”
“นั้นสิ แต่ยังไงฉันก็ควรไปขอโทษคุณผู้จัดการ”
“เอาหน่า รีบทานข้าวแล้วไปทำงานต่อ”
“อื้อ…” คุยกันเสร็จสายตาก็หลุบมองข้าวในจาน ก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาตักเข้าปากแบบจำใจ ไม่หิวยังไงก็ต้องกินสินะ จะได้มีแรงใช้ชีวิตต่อ…
“กระถิน ทานข้าวเสร็จตามฉันมาที่ห้องด้วยนะ”
“ค่ะ”
“มาคนเดียวด้วย” คุณพรเดินแวะมาหาพวกเรา แล้วเดินกลับไปไม่ถึงเสี้ยววินาที เขามีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันกันนะ ถึงได้ให้เข้าไปหาคนเดียว หรือว่านายนั้นสั่งให้เขาไล่ฉันออก คิดแล้วก็ท้อจัง…
ทานข้าวเสร็จ…
“ขออนุญาตค่ะ” หลังจากที่ทานข้าวเสร็จเป็นช่วงเวลาที่ลูกค้าเบาลงพอดีฉันก็เดินมาหาคุณพรที่ห้อง ทวากลับมีพนักงานคนอื่นๆในร้านอีกด้วยที่คอยยืนมองอยู่
“ในฐานะที่เรากำลังทำงานร่วมกัน ฉันขอถามอะไรเธอหน่อยได้ไหม ตอบตามความจริงด้วยนะ พวกเราจะได้ปฏิบัติตัวถูก”
“เรื่องอะไรหรอคะ”
“เธอเป็นอะไรกับคุณพัสกรเป็นอะไรกัน?” พัสกรน่าจะเป็นชื่อจริงของนายนั้น ทุกคนในห้างคงเรียกเขาแบบนั้นกันยกเว้นคนสนิทที่จะเรียกชื่อเล่นได้ แต่ทำไมฉันถึงต้องมาตอบคำถามอะไรแบบนี้ด้วยนะ ทั้งที่อยากลืมเรื่องเมื่อวานไปแล้วแท้ๆ
“ทำไมถึงถามหนูแบบนั้นละคะ”
“ทุกคนเขารู้กันหมดแล้วว่าที่เธอได้เข้ามาทำงานที่นี้เพราะคุณพัสกรสั่ง ถามจริงเถอะเป็นแฟนคุณพัสกรหรอ” พนักงานรุ่นพี่คนที่ไม่ชอบหน้าฉันพูด
“เปล่านะคะเราแค่บังเอิญรู้จักกัน หนูแค่เคยช่วยเขาไว้ เขาคงอยากตอบแทน ขอโทษทุกคนด้วยนะคะ ถ้าหนูเป็นต้นเหตุที่ทำให้พนักงานสองคนก่อนตกงาน หนูจะรับผิดชอบด้วยการลาออกเองค่ะ…” ฉันยกมือไหว้ขอโทษผู้จัดการด้วยความรู้สึกผิด แต่เธอกลับจ้องหน้าฉันนิ่งไม่ได้มีท่าทีรับไหว้ เหมือนกับคนอื่นที่กำลังสะกิดคุยกันโดยที่ไม่ปล่อยให้ฉันไม่ได้ยิน
“เอาเถอะ ไหนๆก็ได้เข้ามาทำงานที่นี้แล้ว ก็ไม่ต้องลาออกหรอก อีกอย่างสองคนนั้นกลับบ้านนอกไปแล้วเมื่อคืน ถ้าจะหาพนักงานคงเสียเวลาเปล่าๆตั้งใจทำงานของเธอก็แล้วกัน”
“หนูขอโทษจริงๆนะคะ ไม่รู้เลยว่าคุณพัสกรทำแบบนี้”
“เอาล่ะ แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว เป็นอันเข้าใจตรงกันนะ” คุณพรเอ่ยสรุปแล้วทุกคนต่างเดินแยกย้ายกันออกมาจากห้อง ทำให้ข้างในเหลือเพียงฉันและคุณผู้จัดการสองคน
“ส่วนเงินเดือน ตามชั่วโมงที่เธอทำเหมือนพนักงานคนอื่นๆนะ” ในตอนที่ฉันกำลังจะก้าวเดินออกจากห้องหลังจากเคลียร์กันเสร็จคำพูดของคุณพรก็ต้องทำให้ฉันหยุดชะงักอีกรอบแล้วหันกลับไปมองเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ไม่โดนไล่ออกหนูก็พอใจแล้ว”
“ออกไปทำงานเถอะ ลูกค้าคงเต็มร้านแล้ว”
“…” ฉันพยักหน้าตอบแล้วส่งยิ้มไปให้ก่อนจะเดินออกมาจากห้องก็เห็นไอ้เต้มันแอบยืนอู้งานเขี่ยโทรศัพท์อยู่
“มาทำอะไรตรงนี้ ไปทำงาน…”
“โอ๊ยเจ๊…ผมเจ็บ!”
มือไม่อยู่นิ่งบิดเข้าที่ใบหูมันแล้วลากมาที่โซนทำงาน มันมองค่อนด้วยสายตาไม่พอใจนักแต่ฉันก็ไม่ได้สนใจจิกตาใส่มันกลับ แล้วเดินมาทำงานต่อ…
-END-
“เจ๊…แล้วตกลงเราจะเริ่มยังไงก่อนดี”
“ต้องหาข้อมูลจากตำรวจที่ทำคดีนี้ก่อน แล้วก็ค่อยๆเจาะลึกไปทีละเรื่อง”
“แล้วลุงรู้เรื่องรึยัง?”
“เราจะเริ่มกันคืนนี้ ส่วนหมอจางเดี๋ยวฉันทักไปในกรุ๊ป” สองหนุ่มสาวยืนคุยกันที่ริมสะพานข้ามแม่นํ้าหลังจากกลับมาจากที่ทำงาน ในมือมีไอติมถืออยู่สายตาทอดมองไปยังผิวนํ้าที่เปล่งประกายระยิบระยับสะท้อนกับแสงไฟบนสะพาน…
“งั้นก็เจอกันคืนนี้ อย่าลืมส่งสถานที่ของเป้าหมายมาด้วยล่ะ”
“อืม กลับเถอะ ฉันก็จะรีบกลับแล้วเหมือนกัน”
“โอเค”
ล็อตเต้ยกมือขึ้นโบกลากระถินแล้วก้าวถอยหลังไปทีละก้าว ก่อนจะหมุนตัวกลับไปเดินปกติ กระถินจึงหันมาจัดการกับไอติมในมือต่อแล้วโยนมันทิ้ง สายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าคิดถึงพี่สาวกับยายสุดหัวใจ…
ผับ See-k-no….
“ตำรวจที่ทำคดีนี้มีตรวจสารเสพติดในผับ เราต้องดักเจอแล้วขอเวลาคุยเรื่องนี้กัน”
“แล้วมันเกี่ยวกันตรงไหนอ่ะลุง รูปแบบคดีออกจะแตกต่างกัน ตำรวจเขาไม่ได้แยกทำงานตามประเภทของรูปคดีหรอ?”
“การตายของคุณดำรงน่าจะมีเรื่องของสารเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
“อ่อ…แบบนี้นี่เอง” เมื่อได้ฟังคำตอบของกระถินล็อตเต้ก็พยักหน้าตอบเป็นเชิงเข้าใจ ตอนนี้ทั้งสามคุณกำลังยืนซุ่มกันอยู่ด้านหลังของผับโดยมีกระถินยืนอยู่คั่นกลางระหว่างสองหนุ่ม
“รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ หมอจะเข้าไปดูสักหน่อย บางทีเราอาจจะมาหลังที่ตำรวจเข้าไปแล้ว ดักรอแบบนี้คงไม่มีประโยชน์”
“ค่ะ”
“รีบมานะลุง” หลิวจางพยักหน้าตอบแล้วเดินเข้าไปที่ด้านหลังของร้าน
“เต้ นายไปดักรอคุณตำรวจอยู่ด้านหน้าก็แล้วกัน ถ้าเห็นเขาก็แจ้งมา”
“แล้วเจ๊จะไปไหน?”
“ดักรอตรงนี้แหละ ทางออกมีทั้งข้างหน้าและข้างหลังเราต้องดักไว้ทุกทาง”
“ดูแลตัวเองดีๆ”
“อืม ไปเถอะ” ตกลงกันเสร็จล็อตเต้ก็เดินไปยังด้านหน้า ทำให้ที่ตรงนี้เหลือเพียงกระถินคนเดียว ผ่านไปหลายนาทีกลับไม่มีแต่เหงาของตำรวจ บวกกับหลิวจางที่ไม่ได้เห็นวี่แววว่าเขาจะออกมาอีกทั้งยังขาดการติดต่อ เธอเลยตัดสินใจเข้าไปตามหาหลิวจางพร้อมกับทักข้อความให้ไปบอกให้ล็อตเต้กลับไปก่อน เพราะอายุยังไม่ถึงเข้ามาข้างในยังไม่ได้…
ภายในผับ…
พอก้าวมาข้างในดวงตากลมโตก็กวาดมองไปทั่วบริเวณเพื่อตามหาหลิวจาง มือยกขึ้นพิมพ์ข้อความส่งไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เธอเดินมาเรื่อยๆทุกพื้นที่จนมาหยุดอยู่ที่โซนสูบบุหรี่ กระถินสูดหายใจเข้าปอดลึกๆแล้วเปิดประตูเข้าไป…
“หมอจาง!?” กระถินเดินเข้าไปหาร่างของชายหนุ่มที่นอนไร้สติอยู่บนพื้น ใบหน้ามีรอยฝกชํ้าจากการชกต่อย เด็กสาวมองรอยแผลพวกนั้นแล้วย่อตัวช้อนศีรษะโตขึ้นมาหวังจะพาพยุงออกไปจากด้านนอก…
“เดี๋ยวนี้เลื่อนขั้นมาเที่ยวด้วยกันแล้วหรอ ร่านใช้ได้เลยนะกระถิน”
“คุณ…”
“มีแพลนจะไปไหนต่อล่ะ ไปขึ้นสวรรค์ด้วยกันงั้นสิ แต่นารกเหมาะกับคนแบบเธอและมันมากกว่านะ…”
.
.
.
Next...
“คุณจะโมโหทำไมคะ ในเมื่อไม่ได้คิดอะไรกับหนูอยู่แล้ว…”
“…นั่นน่ะสิ ฉันไม่ได้คิด แต่น่าจะฆ่ามันให้ตายไปก็ดี”
“อึก…”
“แล้วก็เลิกมองมันด้วยสายตาเป็นห่วงแบบนั้นได้แล้ว ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน…”
