2
เพียงใจเห็นแล้ว และได้คำตอบในนาทีนี้เองว่าวิชญ์โกรธสิ่งใดหรือใครกัน มารดาของเขาที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาล กลับเข้าไปในนั้นอีกรอบเพราะอรสา
ป้าสาของเธอทำเรื่องอีกแล้ว
หญิงสาวไม่เข้าใจว่าท่านทำไปเพราะเหตุใด แล้วนี่ท่านจะรู้ไหมว่าคุณสำลีต้องกลับเข้าโรงพยาบาลใหม่หลังจากที่ตัวเองทำเป็นหวังดีไปเยี่ยม
“นังผู้หญิงหน้าด้านนั่นบุกเข้ามาถึงในห้องนอนเลยค่ะคุณวิชญ์ ม้อยเห็นมันไปพูดซุบๆซิบๆข้างหูคุณท่านแป้บเดียวเท่านั้น แล้ว... แล้วคุณท่านก็ช็อคหมดสติไปเลยค่ะ”
เพียงใจที่ตามเขามาโรงพยาบาลด้วยมองหน้าคนเล่าเสร็จ อดเหลือบตาไปมองทางเขาคนที่เป็นเจ้านายของเธอไม่ได้
บัดนี้ใบหน้าของวิชญ์คล้ำลงราวกับมีเมฆฝนและพายุก่อตัวกันอยู่ภายในพร้อมจะทำลายล้างสิ่งที่กวนตะกอนอารมณ์ของเขา ริมฝีปากนั้นเม้มแน่นสนิทดวงตาดูกร้าวดุลุกโชนแสงราวกับสามารถเผาไหม้สิ่งที่ต้องการได้ทุกเวลา
เสียงโทรศัพท์สำหรับติดต่องานของวิชญ์ดังขัดความคิดของเพียงใจขึ้น หญิงสาวสะดุ้งนิดเดียวยากที่ใครจะมองเห็น แล้วขอตัวเดินออกมารับสายเรียกเข้าของเขา เบอร์ติดต่อนี้เธอจะเป็นคนรับและจัดแจงธุระให้เขา จนแล้วเสร็จจึงกลับเข้ามายืนในห้องผู้ป่วยที่มีคุณสำลีนอนหมดสติอยู่ในนั้น เพียงใจพยายามรักษาระยะห่างที่ปกติก็ห่างอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เธอขยับออกห่างอีกหน่อย แต่พอที่พูดจากันได้ยิน และไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าใจของเธอกริ่งเกรงเขามากเพียงใด
ท่าทีเรียบเฉยที่มี ใช่จะเป็นแบบเดียวกับความรู้สึกภายในของเธอ แต่เพียงใจนั้นเก็บความรู้สึกเก่ง เธอกลัววิชญ์ใช่จะไม่กลัวเขา เมื่อรู้ว่าต้องทำงานกับเขาแน่แล้ว เธอจึงต้องลดทอนความกลัวนั้นลง กดมันเอาไว้ให้ต่ำเพื่อให้การทำงานประสบผลสัมฤทธิ์มากที่สุด
เธอจะไม่มาทำงานกับเขาก็ได้ แต่เมื่อรู้ว่าเงินที่อรสาบอกว่าเป็นเงินประกันของแม่ แท้จริงนั้นไม่ใช่ อรสายอมสารภาพว่าไปขอหยิบยืมมาจากคุณลุงอานนท์ พ่อของวิชญ์ เพื่อนำมาส่งให้เธอได้เรียนจนจบปริญญาตรี ท่านว่าหากท่านบอกไปแบบนั้นแต่แรก เธอคงไม่รับและหมดโอกาสในการที่จะได้เรียนในที่ที่ดีดี จึงปฏิเสธไม่ได้เมื่อคุณลุงอานนท์ร้องขอให้มาช่วยงานบุตรชายของท่าน
‘ไม่ต้องห่วงเรื่องหักเงิน ที่โอนไปน่ะ ลุงให้ฝ่ายบัญชีหักออกแล้ว ลุงขอแค่หนูทำงานกับเจ้าวิชญ์สักสามปี ไหวไหมลูก’ คำถามที่คล้ายกับแฝงการบังคับอยู่ในที เธอจะกล้าตอบหรือว่าไม่ได้
“คุณวิชญ์จะเข้าออฟฟิศไหมคะ” ตัดสินใจถามกระตุ้นในเรื่องงาน เผื่อจะทอนอารมณ์ของเขาลงได้ เพียงใจทำงานกับวิชญ์จนรู้ว่าเขาบ้างานเข้าขั้นคนหนึ่งเลยทีเดียว
“มีอะไร” เขาถามเสียงเครียดกลับมาแทนคำตอบ
“ทางจังหวัดแจ้งเงื่อนไขเรื่องการยื่นซองประมูลมาใหม่ค่ะ”
“ไม่เข้าแล้ว จัดการแบบไหนไปตามที่เคน เคนรู้ว่าต้องทำยังไง”
“แล้วประชุมของพรุ่งนี้คอนเฟิร์มไหมคะ”
“อือ”
“งานเปิดตัวรีสอร์ทคืนพรุ่งนี้ละคะ”
“เหมือนเดิม...คุณกลับไปจัดการเอกสารให้เรียบร้อยเลิกงานแล้วก็กลับได้”
“ค่ะ”
วิชญ์ไม่มีท่าทีเกรี้ยวกราด เขาเงียบและขรึมจัด เธออยากให้เขาตวาดดุด่าเสียบ้างน่าจะดีกว่า เพื่อที่เขาจะได้ระบายความรู้สึกข้างในออกมา เงียบแบบนี้น่ากลัวยิ่งกว่าเสียงดังๆเสียอีก
เพียงใจรับคำเขาแล้วเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วยทันที เธอกระชับสายสะพายกระเป๋ารอเข้าลิฟต์จะลงไปยังชั้นล่างสุด เพื่อกลับออกไปจากโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในตัวจังหวัดด้วยความรู้สึกผิดหวัง เสียใจ และคล้ายกับว่าตนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณสำลีต้องกลับมานอนที่นี่อีก แม้จะไม่ได้เป็นสาเหตุหลักแต่เธอยังเป็นสาเหตุอยู่ดี ป้าสารู้จากเธอว่าคุณสำลีไม่สบาย ถ้าเธอไม่พูดถึง ป้าสาก็คงไม่ไปพบกับคุณสำลี
ป้าสาทำไมต้องไปยุ่งกับคุณสำลี...เธอไม่เข้าใจ
“หนูเพียง มาทำอะไรคะลูก”
เพียงใจชะงักหน่อยหนึ่งแล้วหันไปทางคนที่ทักเธอ ท่านเป็นพยาบาลคนที่เคยอยู่ในโรงพยาบาลของรัฐมาก่อน เพราะก่อนที่มารดาของเธอจะเสียนั้น ก็มีเหล่าแพทย์และพยาบาลคอยดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด หญิงมีอายุท่านนี้เป็นหัวหน้าพยาบาลที่ดูแลมารดาของเธอตอนที่ท่านนอนรักษาตัว
“สวัสดีค่ะคุณป้างาม”
เพียงใจยกมือไหว้หญิงมีอายุในชุดพยาบาลที่มีสูทสีน้ำตาลคุมทับตามแบบฟอร์มของพนักงานที่นี่ ปกติก็เจอะเจอกันข้างนอกค่อนข้างบ่อย เรียกว่าสนิทกันยังได้ ท่านชอบคุยส่วนเพียงใจนั้นเป็นผู้ฟังที่ดี บ่อยครั้งที่อีกฝ่ายมักนำเรื่องปวดหัวสารพัด ไม่ว่าจะเรื่องตนเองจนลามไปถึงเรื่องชาวบ้านชาวช่อง ท่านจะนำมาคุยทำนองว่าเม้ากับเธอออกบ่อยไป
“ไปไหนมาคะ”
อีกฝ่ายทักถามด้วยอัธยาศัยค่อนข้างดี ตามวิสัยคนมีหัวใจบริการ เดิมทีท่านอยู่ในโรงพยาบาลรัฐบาลของจังหวัด เธอเคยได้ยินมาว่า บางคนที่เบื่อระบบราชการก็ย้ายตัวเองมาอยู่ในเอกชน ถมเถไป
“มาเยี่ยมคุณแม่ของเจ้านายค่ะ”
อีกฝ่ายเลิกคิ้ว เข้ามากระซิบถามเสียใกล้ “อย่าบอกนะว่ามาเยี่ยมคุณสำลี”
“ทำไมทราบคะ”
“โหย...เขาปิดกันให้ทั่ว แล้วชั้นนี้ก็มีคนไข้วีไอพีอยู่คนเดียวนี่นา ช็อคกลับมาคราวนี้ เขาว่า....” คงเพราะเห็นว่าสนิทสนมกันมาก่อน อีกฝ่ายจึงระงับความคันของปากไม่ได้ “เพราะมีมารไปผจญถึงบ้านน่ะสิ”
ใช่...มารผจญจริงๆอย่างที่ว่า และมารนั้นก็ไม่น่าผิดไปจากอรสา ป้าของเธอ
คุยกันได้ครู่ใหญ่ เพียงใจขอแยกย้ายกลับแล้วตรงไปที่สำนักงานเพื่อเคลียร์ธุระให้เขาจนเรียบร้อย เตรียมเอกสารสำหรับประชุมจนเสร็จจึงกลับบ้านด้วยหัวใจอันหดหู่
“วันนี้กลับแต่วัน งานแกเสร็จเร็วขึ้นนี่” อรสาทักเสียงอ่อนหวานสดใส แต่เพียงใจกลับรู้สึกตรงกันข้าม ถามเสียงเครียด “ป้าสาไปบ้านคุณสำลีทำไมคะ”
“ตายแล้ว ทำไมแกรู้”
“ป้าสารู้ไหมว่าคุณท่านเข้าโรง’บาลไปอีกรอบแล้วน่ะค่ะ”
“จริงหรือ” อรสาทวนคำ ใบหน้าที่ยังงามถึงอย่างไรก็ต้องพ่ายให้กับกาลเวลาที่ฟ้องออกมาทางริ้วเล็กๆตรงหางตาและร่องแก้มของท่าน เพียงใจไม่เห็นความรู้สึกผิดในสายตาของอรสาเลยแม้แต่นิดเดียวเมื่อกล่าวถึงคุณสำลีนั่นยิ่งตอกย้ำให้เธออยากไถ่บาปจนต้องนั่งลงข้างๆคนเป็นป้า เรียกท่านอย่างอ่อนใจ
“ป้าสาคะ…”
อรสาชำเลืองตามองด้วยความระแวงเล็กน้อย ขยับหนีเล็กน้อยด้วยท่าทีระแวง “อะไร”
“เพียงขอร้องล่ะค่ะอย่าไปทำร้ายอะไรคุณสำลีอีกเลยนะคะ เพียงไม่รู้หรอกว่าป้าสากับคุณท่านมีเรื่องบาดหมางอะไรกันมาแต่ครั้งก่อนหนไหน แต่ตอนนี้ป้าสาก็เหมือนเป็นคนชนะแล้วนี่คะ”
ได้ยินคำว่า ‘ชนะ’ แววตาของคนฟังก็ดูวาววับขึ้น ท่าทางดูผยองราวกับนางพญาเลยทีเดียว
“ป้าสาสวยกว่า แถมยังกินอยู่อย่างมีความสุข แต่ดูคุณสำลีสิคะ นอนนิ่งๆอยู่แต่บนที่นอน ข้าวปลาไม่ยอมกิน หมดราศีคนรวยๆเสียนี่ แล้วจะไประรานแกทำไมอีกคะ”
“พูดแบบนี้ ต้องการอะไรกันแน่ยัยเพียง”
“ป้าสารับปากเพียงก่อนได้ไหมคะ”
อรสาเลิกคิ้วคล้ายจะถาม ว่า ‘อะไรล่ะ’ แต่ไม่ยอมเอ่ยปากท่านไม่ตกหลุมคนเป็นหลานง่ายๆหรอก อรสาเองก็เก๋าเกมพอดู ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่เป็นท่านมาจนถึงทุกวันนี้
“ป้าสาคะ”
“อะไรเล่า”
“รับปากเพียงสิคะ”
“ฉันไม่รับปากซี้ซั้ว แกพูดมาก่อนว่าจะให้ฉันรับปากอะไร”
“อย่าไปยุ่งกับคุณสำลีอีกได้ไหมคะ”
อรสาไม่ได้รับปากอะไรกับเพียงใจทั้งนั้น เธอไม่นิยมการผูกมัดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่อย่างนั้นคงมีครอบครัว มีสามี มีลูก แต่ไม่มีความสุขแบบที่เคยเห็นเพื่อนๆหรือญาติๆหลายต่อคนเป็นกันหรอก ได้แต่ยิ้มมุมปากไม่ตอบว่าอะไร เพียงใจถอนหายใจยาวไม่ใช่ว่าโล่งอกตรงข้ามกันด้วยซ้ำ หนักใจยิ่งกว่าเดิม
