ep1
ทิวเขาสลับสล้างทอดยาวอยู่เบื้องหน้าอันเป็นทิวเขาที่สลับซับซ้อนคล้ายภาพวาดของจิตรกรฝีมือเอก ชายหนุ่มสองคนกับรถกระบะคันโตกำลังเร่งเครื่องทะยานไปข้างหน้า โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่หมู่บ้านกลางหุบเขา
“ในเมืองที่ทางออกเยอะแยะทำไมไม่รู้จักไปอยู่ เข้ามาอยู่เสียไกลเชียว”
คนหนุ่มข้างๆ บ่นพึมพำ เมื่อเวลาภายในรถหมดลงไปกับเส้นทางคดเคี้ยวราวกับงูใหญ่ที่ไล่เลาะทิวเขา
“เอาเถอะน่า นายจะบ่นทำไม แค่นั่งมาเป็นเพื่อนฉัน ขับก็ไม่ได้ขับ ฉันขับเอง ฉันยังไม่บ่นเลย”
“ถ้าฉันขับเอง ฉันจะไม่บ่นหรอก เส้นทางอย่างนี้มันต้องขับเอง มานั่งดูทางแบบนี้ ถ้าไม่ชินนี่เมาทางเอาง่ายๆ”
“แหมทำบ่น ถ้าเมาทางก็หลับไปเลย เส้นทางสวยๆ แบบนี้ แทนที่จะตื่นตาตื่นใจกับมัน ลองทำวิกฤติให้เป็นโอกาสหน่อยสิ”
“โอกาสเหรอ ทำยังกับบ้านเราไม่มี ทิวเขาที่ไหนมันก็เหมือนกันทั้งนั้นล่ะ ยิ่งถ้าถนนทอดยาวไปแบบนี้ ประเดี่ยวมันก็เหมือนกับรีสอร์ทของนายที่มันมีแต่ความวุ่นวายอยู่ในตอนนี้”
แผนหรือผสุที่ทำหน้าที่ขับรถอยู่ในตอนนี้ เหลือบมองเพื่อนที่ทำหน้าเบื่อๆ อยู่ด้านข้างแล้วส่ายหน้าไม่อยากต่อคำด้วย เมื่อบรรยากาศในรถเงียบ สุทธิ์หรือวิสุทธิ์ ก็เริ่มชวนคุยอีกครั้ง
“แผน นายว่าเขาจะขายที่ให้เราหรือวะ ที่กลางป่าเขาพวกนี้ นายก็น่าจะรู้ว่ามันไม่มีโฉนด อย่างมากก็ที่ ส.ป.ก.”
“ขายสิทำไมไม่ขาย เพราะคนที่ฉันจะไปหา เขาเป็นเพื่อนของพ่อฉัน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แต่ฉันก็แปลกใจอยู่อย่าง ว่าทำไมพ่อฉันถึงอยากจะได้ที่ดินไกลนัก”
“ไม่เจอกันนาน ติดต่อกันทางจดหมายหรือไง?”
คนชวนคุยซักถามแบบฆ่าเวลา
“เอาเถอะน่า เขาจะติดต่อกันยังไงก็เรื่องของเขา เรื่องของฉันมีแค่มาหาเขา แล้วก็เจรจาซื้อที่ดิน เพื่อทำรีสอร์ทให้พ่อ ฉันว่าบางทีพ่ออาจจะหลบความวุ่นวายของเมืองปายมาอยู่ที่นี่”
“แล้วรีสอร์ทที่ปายล่ะ”
“ก็ฉันกับนายยังไงล่ะ นายจะยังสงสัยอะไรอีก”
“พ่อนายอายุมากแล้วนะ ฉันไม่คิดหรอกว่าเขาจะมาบุกเบิกอะไรกับที่นี่ มันไกลมากนะ”
“นายยังไม่รู้จักพ่อฉันดี..ที่ไกล บรรยากาศสวยๆ แบบนี้แหละที่นักท่องเที่ยวชอบนัก พวกโหยหาธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็ทำลายธรรมชาติลงด้วย”
“หมู่บ้านข้างหน้านั่นใช่ไหม จุดหมายของนาย”
วิสุทธิ์ชะเง้อคอมองไปที่กลุ่มบ้านเรือนไกลๆ อยู่กลางหุบเขาเขียวขจี แล้วคาดว่าที่นั่นคือจุดหมายปลายทางที่เขาทั้งสองดั้นด้นมา
“ดูป้ายสิ ใช่ไหม?”
ผสุหันมาตอบกวนๆ กับเพื่อน เท้าเร่งคันเร่งเร็วขึ้น จนวิสุทธิ์ต้องขยับตัวติดกับเบาะรถแล้วหันมามองค้อนเพื่อนอย่างเคืองๆ
******
เสียงเคาะกระทะและกลิ่นเครื่องเทศฉุนตลบอบอวลไปทั่งทั้งร้าน ขณะที่อาคันตุกะสองนายกำลังเดินเข้าไปร้านที่ปลูกเสริมอยู่ริมทาง มีระเบียงนั่งยื่นออกไปตามเหลื่อมของหินผา ค้ำด้วยท่อนไม้แข็งแรงแน่นหนา โต๊ะนั่งรับประทานอาหารมีแขกจำนวนหนึ่งกำลังนั่งรออาหารตามสั่ง และนั่งชมบรรยากาศกลางหุบเขาที่มีอากาศเย็นสบาย
ผสุเหลียวมองไปรอบๆ บริเวณ ก็พบว่าริมระเบียงมีผู้จับจองที่นั่งไว้หมดแล้ว เหลือเพียงโต๊ะเล็กๆ ข้างมุมเสาว่างอยู่เพียงโต๊ะเดียว จึงเดินดุ่มเข้าไปทรุดนั่งด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน โดยไม่สนใจว่าวิสุทธิ์จะเดินตามมาหรือไม่
“สวัสดีค่ะ จะรับอะไรดีคะ”
“ผมขอลาเต้ร้อนที่หนึ่ง”
“รอสักครู่นะคะ”
เสียงหวานใสตอบรับ แต่ก่อนที่เจ้าตัวจะหันหลังกลับ ชายหนุ่มก็เอ่ยถามเบาๆ ด้วยความสงสัย
“แม่ครัวกำลังทำอะไรหรือ? กลิ่นฉุนทีเดียว”
“อาหารตามสั่งค่ะ ที่นี่มีอาหารขึ้นชื่อหลายอย่างค่ะ ลูกค้าติดใจมาก เพราะไม่เขียมเครื่องเทศ เครื่องแกง รสชาติเน้นความจัดจ้าน เผ็ดร้อน”
“งั้นหรือ....มิน่า กลิ่นฉุนโชยออกไปถึงหน้าร้านเลย”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวกล่าวขอบคุณแล้วรีบนำเมนูกาแฟไปยื่นไว้ที่เคาน์เตอร์ที่ตอนนี้มีชายหนุ่มอีกคนกำลังยืนคุยอยู่กับสาวสวยหน้าตาดีที่กำลังวุ่นอยู่กับการทำบัญชีที่เคาน์เตอร์
ผสุมองเพื่อนพลางถอนใจยาว วิสุทธิ์เป็นอย่างนี้เสมอเมื่อเห็นสาวสวย อันที่จริงก็เป็นธรรมชาติของผู้ชาย ว่ากันว่าผู้ชายที่ไม่เจ้าชู้ก็เหมือนงูไม่มีพิษ ทว่า....วิสุทธิ์นั้น คงเป็นงูที่มีพิษอย่างเอกอุทีเดียว
ชายหนุ่มนั่งรออยู่ชั่วครู่ก็มีเด็กมาเสิร์ฟกาแฟที่เขาสั่งไว้ เป็นเด็กผู้ชายรูปร่างสันทัด ขาสั้นแข็งแรง มองปราดเดียวเขาก็รู้ว่าลักษณะเช่นนี้คือเด็กชาวเขา เด็กที่ต้องใช้กำลังขามากกว่าอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ทำให้พวกเขามีลำขาที่ง่ายต่อการปีนป่ายบนเขาสูง ธรรมชาติตอบแทนเขาอย่างนั้น เพื่อให้เราดำรงชีวิตรอดตามสภาพแวดล้อม
“ผัดฉ่า...สักที่ไหม? กินแกล้มเหล้าป่า บรรยากาศแบบนี้ไม่น่าพลาด”
