บทที่ 2
คำตอบและการกระทำของลลิตาในวันนั้นช่างร้ายกาจ ต่อให้จะผ่านมาหลายปีแต่มันก็ยังติดตรึงอยู่ในความรู้สึกเขามาจนถึงทุกวันนี้ หัวคิ้วหนาของคริสขมวดเข้าหากันยามนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่แสนเจ็บปวด
แม้อยากจะทิ้งทุกอย่างแล้วหนีหาย แต่สุดท้ายก็เลือกกลืนกินความเจ็บปวดเหล่านั้นแล้วออกเดินทางมาบอสตันเพื่อเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารจากบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เขาใฝ่ฝันว่าอยากร่วมงานด้วย
งานรุ่งแต่รักพัง
พังชนิดไม่เป็นท่า
พังจนทำให้เขาขยาดและไม่คิดจะรักใครอีก
แต่แล้วความบังเอิญก็ทำให้คนสองคนได้เจอหน้ากัน แม้สถานที่จะร่มเย็นเพราะอยู่ใต้ร่มพระพุทธศาสนาทว่าจิตใจของพวกเขากลับร้อนรุ่มดั่งไฟแผดเผา ต่อให้จะไม่ได้พูดคุยกันแม้แต่คำเดียวก็ตาม
“มองอะไรอยู่หรือครับคุณอิง” เพราะเห็นว่าลลิตากำลังเพ่งมองอะไรบางอย่างอยู่หนำซ้ำยังแสดงสีหน้าตกใจแบบนั้นอีกด้วย ทำให้ปราณเอ่ยถามขึ้น
“อะ…เอ่อ เปล่าค่ะไม่มีอะไร”
“กลับกันเถอะครับ ฝนตั้งเค้ามาแล้ว”
“ค่ะ” ลลิตาเอ่ยรับ เธออาจตาฝาดไปเองคนเดียวก็ได้ที่มองเห็นคริสที่หน้ากุฎิแบบนั้น เพราะถ้าเดาไม่ผิดตอนนี้เขาต้องอยู่ต่างประเทศสิ แต่ภาพที่เห็นก็ยังติดตา ลลิตาอยู่โดยเฉพาะภาพขณะที่อีกฝ่ายพนมมือก้มกราบท่านเจ้าอาวาสที่เธอกับปราณพึ่งไปพบก่อนหน้านี้
“ทำบุญแล้วสบายใจขึ้นไหม” ปราณเอ่ยถามเพราะจู่ๆ ลลิตาก็เอ่ยบอกว่าอยากไปทำบุญเขาจึงพาเธอมาที่นี่
“ค่ะ คุณปราณรู้จักที่วัดนี้ได้ยังไงหรือคะ”
“คนที่ผมรักอยู่ที่นั่นนะครับ” แม้คำพูดของปราณจะฟังดูกำกวมแต่เวลานี้ลลิตากลับไม่มีกระจิตกระใจจะถามถึงรายละเอียดเพราะเอาแต่คิดถึงคริส
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่โยม” เจ้าอาวาสเอ่ยถาม คริสอย่างคนคุ้นเคย นั่นเพราะได้ทำความรู้จักกันเมื่อครั้งที่คริสมาจัดการเรื่องงานศพของน้องสาวแล้วกำลังดิ่งในห้วงของความทุกข์อย่างแสนสาหัส ท่านจึงพยายามชี้แนะให้หาทางออก
“วันสองวันได้แล้วครับหลวงพ่อ”
“สุขกายสบายใจดีไหม”
“ครับ” ชายหนุ่มเอ่ยรับ แม้จะไม่สุขกายสบายใจเสียทีเดียวก็ตาม
“แล้วนี่จะอยู่เมืองไทยกี่วัน”
“ประมาณหนึ่งเดือนครับ ตั้งใจว่าจะอยู่ทำบุญครบร้อยวันน้องสาวก่อนค่อยกลับ”
“จะครบหนึ่งร้อยวันแล้วเหรอ วันเวลาช่างผ่านไปเร็วว่าไหม ถ้าว่างจากงานก็แวะมาคุยกับอาตมาได้ตลอดนะ”
“ครับ” คริสพนมมือแล้วกราบเจ้าอาวาสอีกครั้ง เขายังจดจำวันแห่งการสูญเสียนั้นได้ดีว่าจิตใจจมดิ่งมากขนาดไหน ถ้าไม่ได้พระท่านช่วยดึงสติป่านนี้ก็อาจทำอะไรบ้าๆ ไปแล้ว เช่นฆ่าใครบางคน
“ฉันเจอคริส”
“จริงหรอแล้วเจอที่ไหน” หน้าสีหน้ารวมถึงน้ำเสียง
ของลักขณานั้นบอกว่าเธอตกใจนั่นเพราะไม่คิดว่าคนที่ ลลิตาเอ่ยถึงจะกลับมาเมืองไทยอีก
“วัด”
“สงสัยจะไปจองเมรุให้ตัวเอง”
“นา” ลลิตาเอ่ยปรามเพื่อนสนิท
“ขอโทษที ได้ยินชื่อนี้ทีไรอารมณ์มันขึ้นตลอด ว่า
แต่แกไปทำอะไรที่วัดถึงเจอกัน”
“ฉันกับคุณปราณไปทำบุญ เลยบังเอิญเจอเขาที่
นั่นด้วย” สีหน้าของลลิตาบ่งบอกว่าเธอกำลังเครียด การที่คริสอยู่ไกลครึ่งค่อนโลกมันทำให้เธอสบายใจได้เปลาะหนึ่งว่าคงไม่บังเอิญเจอเขาที่เมืองไทยได้ง่ายๆ แต่ดูเหมือนตอนนี้สิ่งที่หวังจะไม่เป็นแบบนั้น
เธอไม่รู้ว่าเขาแค่กลับมาเยี่ยมน้องสาวมาทำธุระส่วนตัวหรือเรื่องอะไร รวมถึงไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน หวังว่าความบังเอิญอย่างวันนี้จะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก
“คุณปราณได้เจอด้วยไหม”
“ไม่”
“เจอกันแล้วเป็นไงได้คุยอะไรกันบ้าง” ลักขณาเองก็
ลุ้นเหมือนกัน เพราะทั้งคู่จบไม่ค่อยสวยกันเท่าไหร่แถมยัง
มี…เฮ้อ คิดแล้วก็ปวดหัวตุบๆ
“เขาก็ดูตกใจนะที่เจอฉัน แต่เพราะต่างอยู่ไกลกันเลยไม่ได้คุย” ลลิตายังใจเต้นแรงเมื่อนึกถึงคริส หากเจอหน้ากัน ในระยะประชิดกว่านี้เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรับมือได้ไหม
“เธอไม่บอกเขาไปล่ะว่ากำลังจะแต่งงาน ชูแหวนเพชรเม็ดเป้งให้ดูไปเลย” ลักขณายุส่งเพราะคนแบบคริสต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่เคยก่อไว้บ้าง
“บอกไปแล้วได้ประโยชน์อะไร” เอ่ยจบลลิตาก็ลอบถอนหายใจมาออกมาหนักๆ เธออยากต่างคนต่างอยู่มากกว่า
“ได้ความสะใจ อย่างน้อยเขาก็จะได้รู้ว่าเธอกำลังมีชีวิตใหม่ที่ดี”
“ช่างเถอะ ยังไงตอนนี้เราก็เลิกกันแล้ว เหตุผลตอน
นั้นจะเป็นยังไงผลที่ได้มันก็ออกมาแล้ว ควรจบเสียที
“ผู้ชายอะไรกล้าคบไม่กล้าเลิก แต่กลับฝากน้องสาวมาบอกแถมน้องก็เหมือนจะประสาทหน่อยๆ” ลักขณาเบ้ปากให้อดีตคนรักของลลิตา ผู้ชายใจปลาซิวแบบนั้นไปตายได้ก็ดี
“นา”
“ไม่พูดแล้วก็ได้ แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันจะบอกเรื่อง…”
ยังไม่ทันที่ลักขณาจะพูดจบลลิตาก็ชิงพูดแทรกขึ้น
“ไม่ หัวเด็ดตีนขาดฉันก็ไม่บอกเขาเด็ดขาด”
“แต่เขามีสิทธิ์ได้รู้และเจ็บปวดที่ทำแบบนั้นกับเธอ”
แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วแต่ลักขณาก็ยังเป็นเดือด
เป็นร้อนแทนเพื่อนรัก เรียกได้ว่ายิ่งคิดก็ยิ่งแค้น
“ไม่”
“เฮ้อ...แกนี่หัวแข็งจริงๆ ไม่บอกก็ไม่บอก ตามใจ” ในที่สุดลักขณาก็มีอันให้ถอดใจเพราะเธอยุเรื่องนี้กับ ลลิตามาหลายปีแล้วแต่เธอก็ไม่คล้อยตามเสียที
“แกเองก็ด้วย ห้ามหลุดห้ามพูดถึงเรื่องนั้นนะนา ถือว่าฉันขอ”
“จะพยายามแล้วกัน แล้วนี่จัดงานแต่งงานคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”
“คืบหน้าไปเยอะแล้วเหมือนกัน” ถ้าเลือกได้ลลิตาไม่อยากจัดงานแต่งงานใหญ่โตอะไร ทว่าปราณกลับไม่คิดแบบนั้นเพราะเขาออกปากว่าอยากจัดงานแต่งงานที่เต็มไปด้วยความประทับใจให้เธอ
“เธอนี่โชคดีจริงๆ นะที่ได้เจอความรักดีๆ จากคุณปราณ” คิดแล้วลักขณาก็อดที่จะอิจฉาความรักครั้งใหม่ของลลิตาไม่ได้จริงๆ ปราณก็เพอร์เฟคแถมยังรับอดีตของลลิตาได้ทุกอย่างอีกด้วย ชาตินี้เธอจะเจอผู้ชายแบบนี้กับเขาไหมนะ
“เพราะแบบนั้นฉันถึงยิ่งรู้สึกผิดต่อเขา”
“เอาน่าเขารักแกถึงได้เต็มใจช่วยทุกอย่าง ทำจิตใจให้สดใสเข้าไว้ว่าที่เจ้าสาวคนสวย” ลักขณาส่งยิ้มให้ลลิตาแต่ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มฝืนๆ กลับมาให้
