บทที่ 1 วิมานแสนสุข
จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ นกนานาชนิดส่งเสียงเจื้อยแจ้วเป็นสัญญาณเวลาออกล่าเหยื่อ หาอาหาร เพื่อมาเลี้ยงลูกน้อยในรังเล็ก แสงแดดสาดส่องกระทบม่านผ้าแพรสีขาวฉลุลายลูกไม้ ผ่านไปยังร่างกำยำได้สัดส่วนที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงแปดฟุต ผ้าห่มสีครีมไร้ลวดลายถูกดึงขึ้นมาปิดจนมิดหัวเพื่อบังแสงแดดในยามเช้ามากวนใจ
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ประตูจะถูกมือน้อยๆ จะบิดลูกบิดแล้วผลักออก
“อาตุลย์ครับตื่นเถอะ...สายแล้วนะ” เด็กชายวัยหกขวบกระโดดขึ้นเตียงนอนเพื่อเขย่าปลุกคนขี้เซา
“อาตุลย์...อาตุลย์ตื่นครับ...ไหนสัญญากับตัวต่อว่าจะไปสร้างบ้านต้นไม้กันไง” ร่างกายใหญ่โผล่พ้นผ้าห่มหนามาครึ่งตัว สายตาหรี่เพื่อปรับรับแสง ตุลย์วัฒน์เอี้ยวบิดตัวเล็กน้อย ก่อนจะหันมองหลานชายตัวเล็ก ที่ตอนนี้มีแววตาเศร้าเล็กน้อย
“ยังเช้าอยู่เลย...ขออานอนต่ออีกพักนึงนะครับ” ชายหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นอีกครั้ง แต่มือคู่น้อยก็คว้าไว้เสียก่อน
“ไม่ได้ครับ...สัญญาต้องเป็นสัญญา อาตุลย์สัญญากับตัวต่อว่าวันหยุดนี้จะช่วยสร้างบ้านหลังเล็กๆ บนต้นไม้ให้ไงครับ”
“อะ...โอ้ย นี่มันเช้ามากเลยนะครับ อายังง่วงอยู่เลย หาว หาว”
“เช้าแบบนี้อากาศดี แดดไม่ร้อนเหมาะสำหรับการสร้างบ้านครับ” ตุลย์วัฒน์มองหลานชายก่อนจะคว้าตัวมากอดอย่างเอ็นดู
“เอา...ก็ได้เดี๋ยวอาไปอาบน้ำก่อน...แล้วเจอกันที่โต๊ะอาหารนะเจ้าตัวยุ่ง” เขาพูดพร้อมขยี้ผมหลานชายจนยุ่งเหยิง รอยยิ้มเล็กๆแต่เต็มไปด้วยความสุข ทำให้เค้ามีกำลังที่จะทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูหลานทั้ง 2 คน ตัวตุ่น กับ ตัวต่อ
ตุลย์วัฒน์ เสรีดำรงค์ ชายหนุ่มวัย 30 ปี ดีกรีนักเรียนนอก หลีกหนีความวุ่นวายมาใช้ชีวิต ในไร่สายธาร ไร่ส้มเล็กๆที่ให้ผลผลิตมีคุณภาพติดอันดับ มรดกชิ้นเดียวที่ผู้เป็นแม่เหลือไว้ให้หลังจากเสียชีวิต นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของเขา และเมื่อ 3 ปีก่อน เขาต้องสูญเสียพี่ชายแท้ๆ พร้อมพี่สะใภ้ จากอุบัติเหตุทางเรือระหว่างไปฉลองวันครบรอบ 18 ปีของการแต่งงาน ชายหนุ่มจึงต้องรับภาระเลี้ยงดูหลาน ทั้ง 2 คน ด้วยความเต็มใจ
“นายครับ...ให้ผมช่วยอะไรครับนาย” ทองหลางคนงานในไร่ มาคอยรับคำสั่งอย่างนอบน้อม
“อืมดีๆ...งั้นเดี๋ยวเลื่อยไม้กระดานตรงนั้นก่อน...นี่ขนาดฉันวัดไว้แล้ว” ทองหลางรับกระดาษที่มีรูปภาพบ้านหลังเล็ก ออกแบบง่ายๆโดยฝีมืออาหลานคู่นี้ แล้วรีบไปทำงานของตน
“แล้วตัวต่อล่ะครับอา...อาตุลย์จะให้ทำอะไร” หลานชายถามอย่างมีความหวัง
“เอ...ทำอะไรดีล่ะ...อืมงั้นตัวต่อช่วยอาทาสีบันไดแล้วกันนะ” จบคำพูดของอา ตัวต่อถึงกับเกาศีรษะ เด็กน้อยรู้ว่าการทาสีคืออะไร แต่ขั้นตอนวิธีทำนั่นยากเกินที่เขาจะเรียนรู้ได้เอง ชายหนุ่มมองหลานชายแล้วค่อยๆย่อตัวให้เสมอกัน
“อาให้พี่ทองหลางขัดผิวไม้ให้เรียบ แล้วก็ทาสีกันเชื้อราด้วย เพราะว่าไม้เวลาโดนน้ำเนี่ยมันชื้นจึงทำให้เป็นราได้นะครับ” ตัวต่อฟังอย่างตั้งใจ
“นี่...แบบนี้ เอาแปรงทาสีจุ่มลงไปในกระป๋องสี...ระวังอย่าให้หกนะ” ตุลย์วัฒน์หันมองหลานที่ตั้งใจฟังทุกขั้นตอน
“ทาตรงนี้...ลากขึ้นแล้วก็ลงช้าๆ...ทาให้ทั่วเลยครับ” ตัวต่อพยักหน้ารับรู้
“ทาหมดนี่เลยเหรอครับ”
“ใช่...แล้วทิ้งให้แห้งก่อนจะทาสีอีกรอบนึง สีจะได้ติดทนนะครับ” แววตาเด็กน้อยแฝงความสงสัยไว้เต็มเปี่ยมแต่ก็ยิ้มรับอย่างเต็มใจ
“ทำได้ไหม๊ครับคนเก่ง”
“ได้ครับผม...เดี๋ยวตัวต่อจะโชว์ฝีมือเอง” เด็กชายตอบด้วยเสียงร่าเริงก่อนลงมือทาสีบันไดไม้
สองอาหลานช่วยกันสร้างบ้านต้นไม้อย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะที่มีความสุขชวนให้คนงานบริเวณนั้นพากันอมยิ้ม ให้กับความเจื้อยแจ้วของทั้งคู่ ตัวต่อทาสีไปพลางร้องเพลงหนูมาลี ที่คุณครูสอนในชั้นเรียน
“หนูมาลีมีลูกแมวเหมียว...ลูกแมวเหมียว...ลูกแมวเหมียว” เด็กน้อยโยกศีรษะไปพร้อมกับเพลง
“พักกันก่อนค่ะคุณอา คุณหลาน...มาดื่มน้ำมะตูมเย็นๆ ให้ชื่นใจค่ะ” ตุลย์วัฒน์หันมองตามเสียงหวานๆ ของหลานสาว สายตาเริ่มหรี่ลงรอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไป ภาพบรรยากาศเก่าๆ ย้อนกลับมาในโสตประสาทของชายหนุ่มอีกครั้ง
“น้ำมะตูมหวานชื่นใจมาแล้วคร๊า...รินทำเองเลยนะคะ” หญิงสาวร่างบางเดินถือถาดสแตนด์เลส มีแก้วน้ำ 2 ใบ วางลงบนโต๊ะม้าหินกลางสวนหย่อมเล็กๆ ก่อนจะเดินมาโอบกอดรอบคอชายหนุ่มที่นั่งพักเหนื่อยจากการปลูกดอกไม้
“เหนื่อยไหม๊คะตุลย์” หญิงสาวถามอย่างเอาใจใส่
“อืม...แค่เห็นหน้าริน ตุลย์ก็หายเหนื่อยแล้วล่ะ” เขาพูดราวกับความเหนื่อยนั้นหายไปจริงๆ
“ปากหวานอีกแล้วนะคะ...แบบนี้ต้องมีรางวัลให้ซักหน่อย” รินลดาก้มลงหอมแก้มชายหนุ่มฟอดใหญ่
“ฮืม...ชื่นใจจัง ฮะฮ่า”
“อะไรกันเนี่ย...ผมเสียเปรียบนะริน” พูดจบชายหนุ่มร่างหนาก็คว้าเอวบางๆนั้นลงมากอดอย่างง่ายดาย
“ว๊าย...ตุลย์ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า รินอายเค้า” อีกฝ่ายเหมือนไม่ต้องการรับรู้ โน้มคอหญิงสาวลงสัมผัสริมฝีปากหนาของเขา ความนุ่มชุ่มฉ่ำ ยากที่จะผลักให้เขาถอนรสจูบนี้ออก
“อืม...ตะ ตุลย์” เสียงเล็ดออกมาเพียงนิดเดียวก่อนที่ชายหนุ่มจะบดริมฝีปากหนาให้แนบแน่นขึ้น ปลายลิ้นอุ่นๆ ซอกซอนหาสัมผัสลิ้นนุ่มหวาน อย่างดูดดื่ม หญิงร่างเล็กเริ่มอ่อนแรง และตอบสนองจูบนั้นอย่างไม่เกรงกลัวสายตาใครอีก
“ไหนว่าอาย...คุณสู้ผมไม่มีถอยเลยนะ” รินลดา เอียงอาย หน้าของเธอแดงระเรื่อ เลือดที่สูบฉีดพุ่งถึงทั่วกายสาว
“แหม...ก็ตุลย์น่ะ ทำให้รินเคลิ้มตามนี่นา” หญิงสาวรีบลุกอย่างเก้อเขิน แล้วเดินหนีเข้าไปในบ้าน สายตาหยาดเหยิ้มที่โหยหาของตุลย์วัฒน์ยังคงจับจ้องที่ร่างบางไม่ลดละ จวบจนร่างนั้นหายลับไป
“อาคะ...อาตุลย์” เสียงแว่วๆดังเข้ามาซ้อนภาพต่างๆ
“อาตุลย์ครับ...เป็นอะไร ไม่สบายเหรอครับ” ตัวต่อ เดินมาจับแขนหนาเขย่าอยู่หลายครั้ง ภาพต่างๆ เลือนหายไปแล้ว ตอนนี้เบื้องหน้าคือหลานทั้ง 2 คน ที่ทำหน้าตื่นตกใจ แล้วแย่งกันซักถามอย่างเป็นห่วง
“อาตุลย์...ยังคิดถึงผู้หญิงนั้นอยู่หรือคะ” ตัวตุ่นถามอย่างไม่สบายใจ ผู้หญิงที่เธอกล่าวถึงคือคนที่ทิ้งชายหนุ่มไปอยู่กับชายคนรักใหม่ ทำให้เขาทุกข์ใจนานแรมปี หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ไม่เคยมองหญิงสาวอื่นเลย
“อะเอ่อ...ใครบอกล่ะ อาแค่สงสัยว่าวันนี้ทำไมหลานสาวถึงลงมือทำน้ำมะตูมเองต่างหาก” ตุลย์วัฒน์รีบหาคำแก้ตัว
“แหม...ก็อยากทำอะไรให้อาบ้างนี่คะ” ตัวตุ่น เดินไปโอบรอบเอว อาหนุ่มแกมประจบ
“อืม ไหนเอามาชิมหน่อยซิ”
“ขอตัวต่อด้วยครับ...คอแห้งแล้ว”
“ได้เลยจ้า” พี่สาวขยี้ผมน้องอย่างเอ็นดู ก่อนจะส่งน้ำมะตูมหวานชื่นใจให้ทั้งสองคน
อาหารมื้อค่ำถูกจัดวางอย่างเรียบง่ายบนโต๊ะเล็กที่ดูอบอุ่น อา หลาน เริ่มลงมือตักตวงอาหารเพื่อชดเชยพลังงานที่สูญเสียไป
“ของโปรดทั้งนั้นเลย” ตัวตุ่นบอกอย่างดีใจก่อนที่จะตักไข่เจียวหมูสับใส่จานให้น้องชาย ใบหน้าน้อยๆ ก้มลงมองอาหารในจาน แววตาเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด บรรยากาศเงียบทันที ทุกสายตาจับจ้องเด็กน้อยด้วยความเห็นใจ
“ไม่อยากทานเหรอครับตัวต่อ”
“เปล่าครับ...ตัวต่อคิดถึงแม่” ชายหนุ่มขยับเก้าอี้มาใกล้หลานชาย แล้วลูบศีรษะเป็นการปลอบโยน
“คุณแม่เห็นตัวต่อเศร้าแบบนี้คงไม่สบายใจแน่ๆนะครับ”
“ฮือ...ตัวต่อคิดถึงแม่” เด็กน้อยโผเข้ากอดอา ปล่อยหยาดน้ำตาร่วงหล่นอาบสองแก้ม
“โอ๋ๆ คนเก่งของอา ไม่ร้องครับ อาตุลย์อยู่กับตัวต่อไง...อาจะดูแลตัวต่อเองนะครับ อาสัญญา”
“จริงๆนะครับ...ตัวต่อรักอาตุลย์” เด็กน้อยปาดน้ำตาบนใบหน้า แล้วส่งยิ้มให้อาผู้เป็นที่รัก ด้านหลานสาวแอบลอบยิ้ม และชื่นชมอาของตน ก่อนจะทำหน้าที่ส่งน้องชายตัวเล็กเข้านอน
“คุณตุลย์ค่ะ...ป้าว่าเด็กๆ คงจะเหงาและก็ต้องการความอบอุ่นจากพ่อแม่น่ะคะ” ป้าแววแม่และผู้ใหญ่ที่ตุลย์วัฒน์นับถือ พูดอย่างเป็นห่วง
“ผมทำดีที่สุดแล้วครับป้า...ผมจะพยายามชดเชยเป็นทั้งพ่อและแม่ ให้กับเด็กๆ” ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟา
“คุณน่าจะหาใครซักคนมาแบ่งเบาภาระนี่นะคะ...อีกอย่าง” คำพูดของป้าถูกตัดลงทันที
“ผมง่วงแล้วป้า...ไปนอนก่อนล่ะ ปิดประตูให้เรียบร้อยด้วย” ชายผู้เป็นนายตัดบทและเดินขึ้นบันไดไม้ไปยังชั้นบน อย่างไม่ใส่ใจคำพูดนั้นเลย แต่ภายในใจเขามันกลับตรงกันข้าม เพราะสิ่งที่เขาโหยหามันก็ไม่ต่างจากหลานชายเท่าไหร่นัก ความรัก เขาต้องการมันอย่างที่สุด
