ตอนที่ 1 แม่เลี้ยงเดี่ยว
ตอนที่ 1
แม่เลี้ยงเดี่ยว
บ้านทาวน์โฮมหลังเล็กตั้งอยู่ในซอยแคบๆ บรรยากาศรอบข้างมีเสียงพูดคุยของผู้คนตลอดเวลาระคนกับเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งเข้าออกตลอดทั้งวัน
หากเข้ามาจากปากซอยจะเห็นว่ามีบ้านหลังหนึ่งเปิดประตูรั้วกว้าง มีมอเตอร์ไซค์จอดด้านหน้าหลายคัน พร้อมกับกลิ่นหอมๆที่โชยออกมา
หญิงสาวหน้าตาดี ยืนอยู่หน้าเตา สวมผ้ากันเปื้อนสีแดง ในมือถือตะหลิวขณะที่กำลังผัดข้าวอย่างขะมักเขม้น
“รอสักครู่นะคะ อากาศร้อนๆแบบนี้ดื่มน้ำได้นะคะ”
น้ำหนึ่งเอ่ยขึ้น เธอรู้สึกเกรงใจที่ต้องให้ทุกคนรอนาน แต่เพราะว่าเธอทำทุกอย่างคนเดียว เลยต้องใช้เวลาสักหน่อย โชคดีที่ทุกคนเข้าใจและไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้เลย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็พยายามปรับปรุงตัวเอง ปรับปรุงเวลาการทำอาหารให้เร็วขึ้น
ทุกวันตอนเย็นหลังจากที่เธอกลับมาจากจ่ายตลาด เธอก็จะเตรียมผักและเนื้อสัตว์ใส่กล่อง ทุกอย่างถูกจัดเตรียมเพื่อความรวดเร็ว
“ทำคนเดียวแบบนี้ไม่เหนื่อยหรือน้อง”
พนักงานส่งอาหารเอ่ยถาม หลังจากที่เขาเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือ เขามารับอาหารที่นี่บ่อยมาก ลูกค้าทุกคนชมไม่ขาดปากบอกว่าร้านนี้สะอาดและอร่อยที่สำคัญให้เยอะคุ้มค่าเกินราคา
“เหนื่อยสิคะ”
หญิงสาวพูดไปปาดเหงื่อไป เธอยืนทำอาหารตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงบ่ายสอง บางวันก็ได้พักบางวันก็ไม่ได้พัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ย่อท้อ ไม่เคยขี้เกียจสันหลังยาว เพราะเธอต้องหาเงินเลี้ยงดูลูกชายอย่างน้องภูผา ลูกชายวัยสามขวบของเธอ
“ทำไมไม่หาคนช่วยล่ะน้อง จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก”
“ถ้าต้องเอาเงินไปจ้างคน ขอเก็บไว้ให้ลูกดีกว่าค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ อะไรก็ตามที่ลดรายจ่ายได้เธอก็จะทำ หลายคนบอกให้เธอหาผู้ช่วย เพราะที่ร้านขายดีมีคนสั่งเข้ามาทั้งวันแทบไม่ได้หยุดพัก แต่เธอก็เสียดายเกินกว่าที่จะเจียดเงินจำนวนนั้นเพื่อจ่ายให้กับคนที่จะมาช่วยงานเธอ คนที่เธอไม่รู้เลยว่าจะทำงานได้ดีคุ้มค่ากับค่าแรงที่เธอจ่ายให้หรือเปล่าด้วยความที่เธอนั้นเป็นคนทำอะไรด้วยตัวเองมาโดยตลอด บวกกับไม่ชอบชี้นิ้วสั่งใคร เธอจึงเลือกที่จะไม่เป็นนายจ้าง อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่ต้องได้ความสบายใจ
“ของพี่สองคนได้แล้วนะคะ ของพี่เสื้อชมพูหกกล่อง ของพี่เสื้อเขียวอ่อนสามกล่อง”
หญิงสาวกวาดตามอง ยังมีพนักงานส่งอาหารรออยู่ประมาณสามสี่คน แต่ออเดอร์ไม่เยอะมากคงใช้เวลาไม่นานสักเท่าไหร่ หญิงสาวตั้งใจว่าหลังจากนี้เธอจะพักสักครู่ แต่ไม่ทันได้ตัดสินใจเสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้นมา
น้ำหนึ่งถอนหายใจยาว แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกใจชื้นที่เห็นยอดขายของวันนี้พุ่งสูงมากกว่าทุกวัน ก่อนลงมือทำอาหารหญิงสาวได้ปิดเครื่องเอาไว้ชั่วคราว เนื่องจากว่าวันนี้เธอต้องรีบไปรับลูกชายที่โรงเรียนเร็วกว่าปกติ เพราะที่โรงเรียนมีกิจกรรม ปกติแล้วเธอต้องไปรับประมาณบ่ายสามโมงครึ่ง แต่หากวันใดมีกิจกรรมคุณครูก็จะให้ไปรับประมาณเที่ยง หรือบางทีก็อาจจะบ่ายโมง
หญิงสาวตั้งหน้าตั้งตาทำงานของตัวเองต่อไป จนเมื่อเธอผัดข้าวกล่องสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย เธอก็รีบถอดผ้ากันเปื้อนก่อนจะเดินไปที่ประตูเพื่อดึงรั้วปิด
“เดี๋ยวสิหนู! จะปิดร้านแล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะป้า มีอะไรหรือเปล่าคะ”
หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าป้าบ้านซอยถัดไปเดินเข้ามาหา
“ป้าจะมาสั่งข้าวน่ะสิ แล้วทำไมวันนี้ถึงปิดร้านเร็วล่ะ”
“พอดีว่าต้องรีบไปรับน้องภูผาที่โรงเรียนค่ะ”
“ถ้างั้นผัดข้าวให้ป้ากล่องนึงก่อนได้ไหม เอาข้าวผัดจืดๆนะ”
“ได้ค่ะป้า เดี๋ยวนั่งรอสักครู่นะคะ”
หญิงสาวหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวมอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะใช้เวลาประมาณสามนาทีในการผัดข้าวให้ลูกค้าคนสุดท้ายของวัน
เสร็จเรียบร้อยหญิงสาวก็สำรวจบริเวณโดยรอบเพื่อดูว่ามีใครเดินเข้ามาอีกหรือไม่ เธอรีบดึงประตูปิดและเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าในบ้าน น้ำหนึ่งเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว เธอต้องรีบไปถึงโรงเรียนลูกให้เร็วที่สุด
หญิงสาวสวมเสื้อยืดและกางเกงขายาวธรรมดา เธอทาลิปสติกเล็กน้อยเพื่อให้ปากพอมีสีสัน ก่อนจะรีบหยิบกุญแจรถและเดินตรงมาที่รถญี่ปุ่นคันเล็กๆที่เธอตัดสินใจออกเมื่อตอนที่ลูกชายตัวน้อยอายุเพียงสามเดือน
ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะเซฟค่าใช้จ่ายทุกอย่าง แต่เธอก็มองเห็นความจำเป็นของการมีรถ จึงได้ตัดสินใจซื้อด้วยเงินก้อนโต ซึ่งในตอนนั้นก็ทำให้เธอถึงกับกระเป๋าแบนไปหลายเดือน แต่โชคดีที่ร้านอาหารของเธอขายดีมากขึ้นทุกวันๆ เลยทำให้เงินส่วนนั้นที่หายวับไปค่อยๆถูกเติมเต็มทีละนิดอีกครั้ง
หญิงสาวขับรถมาที่โรงเรียน เธอแอบมอง ลูกชายผ่านช่องว่างของประตูรั้ว ก่อนจะหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นว่าเขากำลังนั่งคุยกับเพื่อน
“น้องภูผาครับ คุณแม่มารับแล้วครับ”
เด็กน้อยตาโต แต่ก็ไม่ลืมที่จะวิ่งไปหยิบกระเป๋าพร้อมกับใส่รองเท้าด้วยตัวเอง หลังจากนั้นก็รีบโผเข้ามาหาผู้เป็นแม่
“แม่ครับ ทำไมวันนี้มาเร็วจังเลย”
“คุณครูบอกให้คุณแม่มารับเร็วๆไงลูก แล้ววันนี้เป็นยังไงบ้างสนุกไหม”
หญิงสาวเอ่ยถามเหมือนทุกๆวัน เธอจะคอยถามไถ่ลูกชายด้วยความห่วงใยเสมอ ด้วยความที่เธอกังวลกลัวว่าเขาจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้ กลัวว่าเขาจะถูกรังแก เธอจึงมักจะคอยสังเกตและใส่ใจลูก แต่เมื่อเห็นว่าลูกดูปกติและร่าเริงแจ่มใสเวลามาโรงเรียน คนเป็นแม่อย่างเธอก็รู้สึกเบาใจ
“สนุกมากเลยครับ ผมได้ของเล่นมาเยอะแยะเลย”
“คุณครูแจกหรือลูก”
“ไม่ใช่หรอกครับคุณแม่ ผมตอบคำถามถูกก็เลยได้ของเล่น”
“เก่งมากครับ”
น้ำหนึ่งยกนิ้วโป้ง 2 นิ้วให้ลูกชาย เพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเขาทำได้ดีในวันนี้ เด็กน้อยยิ้มกว้าง เมื่อเข้ามานั่งในรถเขาก็เปิดกระเป๋านักเรียนของตัวเอง หยิบของออกมาทีละชิ้นเพื่ออวดผู้เป็นแม่
“แล้วคุณครูถามอะไรบ้างครับวันนี้”
น้ำหนึ่งอยากรู้ว่าคำถามอะไรที่ลูกชายของเธอนั้นตอบได้ถึงขนาดที่ได้รับของรางวัลมามากมายขนาดนี้
“คุณครูให้ทายสัตว์ ให้ทายผลไม้ ให้ทายสีครับ”
อาจจะเป็นโจทย์ที่ง่ายสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับเด็กวัย 3 ขวบนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เด็กที่ตอบได้แสดงว่าต้องเรียนรู้สิ่งเหล่านี้เป็นประจำ
“แล้ววันนี้ทายได้กี่ข้อครับ”
“มากกว่าสิบเลยครับ”
เด็กน้อยรู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก และเขาก็ดีใจที่ได้รับคำชมจากผู้เป็นแม่ เขาอดไม่ได้ที่จะเอาของรางวัลขึ้นมาอวด น้ำหนึ่งก็ไม่ได้ว่าอะไรลูกชาย พร้อมกับเอ่ยชมตลอดทาง
เธอมักจะสอนให้ลูกกล้าแสดงออก ก่อนที่เขาจะเข้าโรงเรียนเธอก็ได้สอนให้เขาเรียนรู้เรื่องพื้นฐานเล็กๆน้อยๆที่เหมาะสมกับเด็กอนุบาล ไม่ว่าจะเป็นตัวเลข สี สัตว์ต่างๆ ตัวอักษรทั้งไทยและภาษาอังกฤษ เธอก็คอยสอนอยู่ทุกวันทำให้ภูผาจดจำได้ และนำความรู้ตรงนี้ไปต่อยอด
