บทที่ 3 พายุในใจ RE-WRITE
ปลายนิ้วเรียวของอัมพิกาสั่นน้อยๆ ขณะวางอยู่บนเมาส์ แสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์สะท้อนแววตาสับสนของเธอได้อย่างชัดเจน อีเมลจาก Phoenix Ventures Group. คือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ ทว่า... มันดูยิ่งใหญ่เกินไปจนน่าหวาดหวั่น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เหมือนเป็นแสงสว่างที่สาดส่องลงมาท่ามกลางชีวิตมันเรียบง่ายของเธอ
“โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมันง่ายๆเลยนะ อามิ ” เธอบอกกับตัวเอง แต่น้ำเสียงของเธอกลับไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว
เธอยังคงนั่งจ้องอีเมลบนหน้าจออยู่อย่างนั้น มันคือโอกาสที่เธอจะได้พิสูจน์ฝีมือ คือบันไดที่เธอจะนำพาร้านดอกไม้เล็กๆของเธอให้ได้เป็นที่รู้จัก คือสิ่งที่เธอสามารถภาคภูมิใจในสิ่งที่เธอสร้างมาด้วยตัวเอง
อัมพิกาค่อยๆวางมือของเธอลงบนแป้นพิมพ์ ดวงตาฉายแววความครุ่นคิด ก่อนจะเริ่มขยับนิ้วในอีเมลตอบกลับ
‘ ถึง Elysian Events.
ดิฉันขอขอบคุณสำหรับข้อเสนอที่น่าสนใจ ดิฉันยินดีที่จะนัดหมายเพื่อคุยรายละเอียดเพิ่มเติมค่ะ ’
เสียงกดแป้นพิมพ์ดังขึ้นครั้งสุดท้าย พร้อมกับอีเมลที่ถูกส่งไปทันที หญิงสาวถอนหายใจออกมาเสียงดัง ความรู้สึกโล่งใจก็แผ่ซ่านเข้ามา และความวิตกกังวลที่หนักอึ้งมากขึ้นกว่าเดิม
นี่มันเป็นโปรเจคใหญ่ที่สุดในชีวิต...
เธอต้องการเวลาเพื่อตั้งหลักและเตรียมตัว
ชั่วขณะหนึ่งเธอภาพคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวก็ผุดขึ้นมาในใจของเธอ เธอคิดถึงบ้าน คิดถึงอากาศบริสุทธิ์ริมทะเลสาบพิโคลา คิดถึงกลิ่นอาหารหอมๆที่ลอยมาจากห้องครัว คิดถึงอาหารฝีมือคุณนายเชาฮานที่สุด
“กลับบ้านไปพักสักสองสามวันก็คงจะดี ” อัมพิกาพึมพำกับตัวเองเสียงเบา พลางเปิดเว็บไซต์จองตั๋วเครื่องบินทันที
เมื่อจองตั๋วเครื่องบินเสร็จแล้ว อัมพิกาก็ลุกขึ้นมาปิดร้าน และ จัดกระเป๋าเดินทางอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เธอก็อยู่บนเครื่องบินมุ่งหน้าสู่เมืองอุทัยปุระ โดยไม่รู้เลยว่าการกลับบ้านในครั้งนี้... ไม่ได้มีเพียงความสงบรออยู่เท่านั้น
เช้าวันต่อมา ณ คฤหาสน์ตระกูลเชาฮาน , เมืองอุทัยปุระ
แสงดวงอาทิตย์สาดส่องลงมากระทบพื้นผิวน้ำทะเล เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งช่างเงียบสงบและไพเราะ สายลมพัดเข้ามากระทบผ้าม่านสีขาวผื่นบางพริ้วไสวตามสายลม ทว่า....มันไม่ได้ช่วยดับแรงโทสะของเจ้าบ้านเลยสักนิด
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือใหญ่ของเจ้าบ้านฟาดลงไปบนแก้มภรรยาอย่างแรง ร่างบอบบางในชุดส่าหรีสีชมพูเซถลาลงกับพื้นอย่างแรง
“ ผมบอกคุณแล้วใช่ไหม! ว่าอย่าให้ผมเห็นหน้าไอ้สารเลวนั่นอีก! ” เสียงตะคอกเกรี้ยวกราดของปราโมทย์ เชาฮาน ดังลั่นไปทั่วบริเวณ ในมือของเขากำนิตยสารฉบับหนึ่งจนยับยู่ยี่
ภาพนั้นอยู่ในสายตาของอัมพิกาที่กำลังเดินเข้าบ้านพอดิบพอดี
“แม่!” เสียงของเธอร้องเรียกมารดาด้วยความตื่นตระหนัก ร่างบางพุ่งเข้าไปประคองร่างของมารดา ดวงตาสีน้ำผึ้งสวยที่เคยอ่อนหวานบัดนี้กลับแข็งกร้าวขึ้นมา เธอตวัดสายตาจ้องมองหน้าบิดาอย่างไม่เกรงกลัว
“ นี่คือสิ่งที่พ่อใช้แก้ปัญหาเหรอคะ! ด้วยการทำร้ายแม่เนี่ยนะ!”
“ อามิ นี่มันไม่ใช่เรื่องของลูก! ”
“ ทำไมจะไม่ใช่คะ! พ่อทำร้ายแม่เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องอ่ะ! ” เสียงหวานตวาดกลับอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะพยุงร่างของมารดาขึ้นมายืนด้านหลังของเธอ
“ ใช้อารมณ์แก้ไขปัญหา พ่อยังเป็นผู้ใหญ่อยู่หรือเปล่า! ”
“ อัมพิกา เชาฮาน! ” ปราโมทย์ตวาดลูกสาวลั่นด้วยความเดือดดาล
“ อย่ามาเรียกชื่อหนูด้วยน้ำเสียงแบบนั้นนะคะพ่อ! ” สองพ่อลูกจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร อัมพิกายืนนิ่งไม่ไหวติง สองมือกำชายส่าหรีแน่นเพื่อระงับอารมณ์ของตัวเอง
“อามิ แม่ไม่เป็นอะไรหรอกลูก” สัมผัสเบาที่ต้นแขนและน้ำเสียงสั่นเทาของมารดา ทำให้หัวใจของเธอปวดร้าว
“ แต่ว่าแม่คะ... ”
ใบหน้าสวยที่มีร่องรอยของกาลเวลาส่ายหน้าไปมาอย่างช้าๆ ถึงแม้จะโดนอาการวิงเวียนเข้าจู่โจมแต่เธอก็ยังฝืน เพื่อให้ลูกสาวได้เห็นว่าเธอยังไหว
ดวงตาสีน้ำผึ้งจ้องมองใบหน้าของมารดาด้วยความเจ็บปวด เธอหลับตาลงช้าๆ แล้วถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ
“ หนูยอมแค่ครั้งนี้นะคะ”
กาญจีฝืนยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง ในวันที่สามีไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อยวันนี้อัมพิกาก็กลับมาช่วยเธอได้ทันเวลา
“หึ!... โอ๋กันเข้าไป! ” ปราโมทย์พูดออกมาเสียงเรียบ พลางหัวเราะในลำคอเบาๆราวกับเย้ยหยันตัวเอง เขามองภรรยาที่ยืนอยู่ข้างหลังลูกสาวด้วยสายตาวูบไหวก่อนจะกลับมาเรียบนิ่งเพียงเสี้ยววินาที รอยแดงช้ำบนแก้มนวลจากฝีมือของเขา ทำเอาหัวใจแกร่งถึงกับสั่นไหว
ปราโมทย์เดินหนีออกมาจากตรงนั้น ด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
“ คุณคะ...” เสียงของกาญจีเอ่ยเรียกสามี แต่น้ำเสียงก็แผ่วเบาเกินกว่าที่จะฉุดรั้งเขาไว้ ร่างบอบบางกำลังจะก้าวขาตามหลังปราโมทย์ ทว่า... อาการวิงเวียนก็เข้าจู่โจมเธอฉับพลัน
“แม่คะ!”
อัมพิการีบเข้าไปประคองร่างมารดาที่กำลังโงนเงน แขนเล็กกอดกระชับร่างไร้สติแล้วค่อยๆนั่งลงบนพื้นช้าๆ
“แม่... แม่คะ” เธอเขย่ามารดาเบาๆอย่างร้อนรน เพื่อเรียกสติ แต่ก็ไม่เป็นผล หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นด้วยความหวดหวั่น
“รีบโทรหาคุณลุงหมอเร็วเข้า! ” ร่างบางเอ่ยกับหญิงรับใช้ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ค...ค่ะ” หญิงรับใช้รีบกุลีกุจอ รีบวิ่งไปยกหูโทรศัพท์โทรหาคุณหมอประจำตระกูลทันที
ในขณะเดียวกัน - เพนท์เฮ้าส์ อัคราวัล กรุ๊ป ,มุมไบ
ชั้นบนสุดของเพนท์เฮ้าส์ ภายในห้องที่ตกแต่งด้วยโทนสีเข้ม ภาพวาดอินเดียโบราณจากนักวาดชื่อดัง ถูกติดอยู่บนผนังห้อง อีกด้านหนึ่งถูกติดด้วยกระจกใสทำให้มองเห็นทิวทัศน์ ด้านนอกได้อย่างเต็มตา ร่างสูงใหญ่ของเจ้าของห้องกำลังยืนมองทิวทัศน์ ในชุดคลุมอาบน้ำสีดำ เผยเห็นแผงอกกำยำมีแผงขนรำไร แสงไฟยามค่ำคืนของเมืองที่อดีตคนรักของเขาใฝ่ฝัน ไม่ได้ทำให้หัวใจเย็นชาของเขาอบอุ่นขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
ก๊อก ๆ ...
“เข้ามา”
ประตูห้องเปิดออกพร้อมอาร์มันที่เดินเข้ามา ใบหน้าประดับรอยยิ้มทะเล้นเหมือนทุกครั้ง แต่แววตากลับไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย
“ ข่าวดีนะครับท่านประธาน เหยื่อติดเบ็ดแล้ว” เขาพูดอย่างยิ้มๆ พร้อมส่งแท็บเล็ตที่แสดงอีเมลตอบรับของอัมพิกา ให้เจ้านายดู
“ คุณอัมพิกาตอบรับและขอนัดประชุมเรียบร้อย... คุณจะให้ผมจัดการเลยไหม?”
ศิวะรับแท็บเล็ตมาดูด้วยสายตาพึงพอใจ รอยยิ้มเหยียบเย็นผุดขึ้นที่มุมปาก
“ดีมาก... จัดการต่อได้เลย”
เป๊าะ!
“เดี๋ยวจัดการให้ รอดูผลงานได้เลยครับ” อาร์มันดีดนิ้ว พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นขี้เล่น ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง เหลือเพียงเจ้าของห้องที่กำลังมองทิวทัศน์เบื้องหน้าด้วยสายตาราวกับเสือจ้องตะครุบเหยื่อ เขายกแก้วบรั่นดีในมือขึ้นมาจิบช้าๆ
อัมมาวดี... เธอเลือกเมืองนี้ เลือกผู้ชายคนนั้น และทิ้งฉันให้แหลกสลาย
ตอนนี้... น้องสาวสุดที่รักของเธอ กำลังเดินเข้ามาในเกมของฉัน... ในเมืองของฉัน
ความฝันของเธอ... ความดีของเธอ... ฉันจะใช้ทุกอย่างที่เธอเป็น... มาทำลายตัวเธอเอง
เขาหลุบตามองน้ำสีสวยในแก้ว รอยยิ้มเหยียดกว้างขึ้น แววตาคมกริบฉายแววความอำมหิตพร้อมเผาผลาญทุกอย่างให้พังพินาศย่อยยับ เหมือนหัวใจของเขาที่แหลกสลายเป็นเถ้าถ่าน
“ ยินดีต้อนรับ... เข้าสู่ความพังพินาศ อัมมาวดี”
