บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 เงื่อนงำในใจเธอ RE-WRITE

สามเดือนก่อนเลิกรา

คฤหาสน์ตระกูลเชาฮาน, ริมทะเลสาบพิโคลา, เมืองอุทัยปุระ

แสงแดดยามบ่ายทาบลงบนผืนที่น้ำสงบนิ่งของทะเลสาบพิโคลา สะท้อนเงาคฤหาสน์สีขาวนวลของตระกูลเชฮานตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่ง สถาปัตยกรรมแบบราชสถานแท้ๆผสมผสานกับความหรูหราและความอ่อนช้อยของศิลปะพื้นเมืองได้อย่างลงตัว ผนังสีขาวสะอาดตาตัดกับงานแกะสลักหินทรายสีชมพูอันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองอุทัยปุระ บริเวณรอบคฤหาสน์คือสวนเขียวชอุ่มที่ได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน เต็มไปด้วยดอกกุหลาบหลากสีแล้วต้นลั่นทมที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ศาลาหินอ่อนริมน้ำตั้งโดดเด่นเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจคลายเย็นของคนในครอบครัว

ถัดมาเป็นห้องนั่งเล่นที่โอ่โถง ซึ่งตกแต่งด้วยพรหมเปอร์เซียผืนงามและเฟอร์นิเจอร์ไม้แกะสลักลวดลายวิจิตร แสงแดดอ่อนๆลอดผ่านหน้าต่างบางสูงที่กรุด้วยกระจกสี เผยให้เห็นทัศนียภาพอันงดงามของทะเลสาบด้านนอก ทว่า... ถึงแม้วิวทิวทัศน์ภายนอกจะสวยงามสักเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบเท่ากับร่างหญิงสาวที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้หวายบุนวมนุ่มข้างหน้าต่าง เธออยู่ในชุดส่าหรีผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อนสบายตา ผมยาวสลวยสีดำขลับถูกปล่อยสยายคลอเคลียแผ่นหลังบาง ใบหน้าเรียวรูปไข่ประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ดวงตากลมโตเป็นประกายสดใสยามมีเรื่องขบขันในหนังสือที่อ่าน ในขณะที่เธอกำลังอ่านเนื้อหาในหนังสืออย่างสนุกสนาน เสียงเรียกของมารดาก็ดังแว่วมาจากห้องอาหารที่อยู่ถัดไป

“อามิ! มาช่วยแม่จัดโต๊ะหน่อยสิจ๊ะลูก วันนี้มีแขกสำคัญ”

“ค่ะแม่” อัมพิกาขานรับอย่างกระตือรือร้น เธอวางหนังสือลงบนโต๊ะข้างตัว ก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินไปที่ห้องอาหาร ที่ซึ่งคุณนายเชาฮานผู้เป็นมารดากำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมต้อนรับแขก

โต๊ะอาหารโต๊ะอาหารไม้มะฮอกกานีตัวยางถูกปูทับด้วยผ้าปูโต้ลินินสีครีมปักลวดลายดอกไม้สีทอง บนโต๊ะจัดวางชุดจานชามกระเบื้องเคลือบเนื้อดีจากอังกฤษพร้อมช้อนส้อมเงินขัดมันเงาวับ แจกันคริสตัลใส่ดอกบัวสีชมพูสดตั้งเด่นสง่ากลางโต๊ะ

อัมพิกาช่วยมารดาจัดวางแก้วน้ำคริสตัลและผ้าเช็ดปากอย่างคล่องแคล่ว แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอยังคงสว่างไสวไม่จางหาย

“คืนนี้เราต้องดูแลแขกให้ดีที่สุดเลยนะอามิ โดยเฉพาะครอบครัวของราฟี เชค พวกเขาเป็นนักธุรกิจคนสำคัญจากมุมไบ แล้วก็ยังมีแขกผู้ใหญ่อีกหลายท่านด้วย” คุณนายกาญจีเอ่ยขึ้นขณะตรวจดูความเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย

“รับทราบค่ะ แต่ว่า... พี่อามู รู้เรื่องหรือยังคะ” หญิงสาวถามถึงพี่สาวเพียงคนเดียวของเธอ อัมมาวดี เชาฮาน

ทว่า... เมื่อเอ่ยถึงพี่สาวคนโต ผู้เป็นมารดากลับถอนหายใจออกมาเบาๆ

“แม่บอกพี่เขาแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะสนใจแค่ไหน รายนั้นน่ะ...”

“ถ้าให้หนูเดานะคะ หนูว่า... พี่อามูคงกำลังนั่งทำหน้าเบื่อลูกอยู่ที่ไหนสักแห่งในบ้านแน่ๆค่ะ” เธอหัวเราะคิกคักออกมาหย่างรู้ทันพี่สาว

“เด็กคนนี้นี่นะ ช่างพูดช่างเจรจาจริง” คุณนายกาญจีส่ายหน้าเบาๆด้วยความเอ็นดูในความร่าเริงของบุตรสาวคนเล็ก

ภายในห้องนอนกว้างขวางตกแต่งด้วยโทนสีทองและสีครีมอ่อนหวาน ผ้าม่านไหมเนื้อดีทิ้งตัวอย่างสวยงามจากเพดานสูงจรดพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่ม หญิงสาวเจ้าของห้องนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งบานใหญ่ เธอสวมส่าหรีผ้าไหมสีชมพูสด กำลังใช้หวีงาช้างสางผมยาวสลวยของเธอด้วยท่าทางเนือยๆ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแววความเบื่อหน่ายระคนอึดอัด จนต้องถอยหายใจออกมาเฮือกใหญ่เป็นระยะ จนประตูห้องนอนของเธอถูกเปิดออก ร่างของน้องสาวอย่างอัมพิกาเดินเข้ามาหาเธอด้วยรอยยิ้มสดใส

“พี่คะ คืนนี้บ้านเรามีงานเลี้ยงสังสรรค์ มีแขกมาเยอะมากเลย พ่อแม่ของเราก็อยากให้เราต้อนรับแขกด้วยค่ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาว อัมมาวดีก็ถอนหายใจยาว ดวงตาคู่สวยที่มักจะเปล่งประกายสดใส แต่วันนี้กลับหม่นหมองลงอย่างน่าใจหาย

“อามิ... รู้ไหมบางทีพี่ก็เบื่องานเลี้ยงแบบนี้จะแย่อยู่แล้ว ต้องคอยฉีกยิ้ม พูดคุยในเรื่องที่ไม่ได้สนใจจริงๆ พี่อยากทำอะไรที่มันมีความหมายต่อชีวิตพี่มากกว่านี้”

อัมพิกาทรุดตัวลงนั่งข้างๆพี่สาว ดวงตาสีน้ำผึ้งมองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยความเห็นใจ มือบางเอื้อมมือไปกุมมือเรียวของอัมมาวดีไว้อย่างปลอบโยน

“หนูเข้าใจความรู้สึกพี่นะคะ”

“ พี่รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในกรงทองขนาดใหญ่ ถูกขัง” อัมมาวดีระบายความรู้สึกออกมาเสียงสั่น เจ้าของห้องเสื้อชื่อดังระเบิดความอัดอั้นที่อยู่ในใจของเธอมาตลอด

“ ชีวิตที่ถูกขีดเส้นไว้แล้วว่าต้องทำอะไร! ต้องเป็นแบบไหน! แม้กระทั่งความรัก!... บางทีพี่ก็รู้สึกเหมือนว่าถูกคาดหวังมากเกินไป ศิวะ...เขาดีกับพี่มาก ดีมากเหลือเกินอามิ แต่...บางครั้งพี่ก็อดคิดไม่ได้ว่าชีวิตที่เรียบง่ายและอบอุ่นกับเขา มันอาจจะยังไม่ใช่ทั้งหมดในชีวิตที่พี่ต้องการจริงๆ ”

“แต่พี่คะ... พี่ศิวะเขารักพี่มากนะคะ อีกอย่างพี่เยาก็ทุ่มเททุกอย่างเพื่อพี่ ร้านของพี่พี่ศิวะก็เป็นคนคุยกับพ่อให้ จนพ่อของเราเปิดไฟเขียวให้พี่ได้เปิดร้านเลยนะคะ”

“พี่รู้...และนั่น มันก็ยิ่งทำให้พี่รู้สึกผิด” ดีไซเนอร์สาวพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกผิด เธอกระพริบถี่เพื่อไล่น้ำตาที่กำลังเอ่อคลอเบ้า

“แต่พี่ก็อดฝันถึงชีวิตที่ท้าทายมากกว่านี้ไม่ได้ ชีวิตที่พี่มีเป็นของตัวเองจริงๆ ไม่ใช่ลูกสาวคนโตของตระกูลเชาฮานหรือภรรยาของศิวะเท่านั้น”

อัมพิกามองใบหน้าด้านข้างของพี่สาวที่เจ็มไปด้วยความหม่นหมอง เธอก็รู้สึกสะท้อนใจอยู่ลึกๆ

พี่สาวของเธอ... คงจะกดดันมากเลย หญิงสาวคิดในใจ ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปสวมกอดพี่สาวเบาๆ

“ไม่ว่าจะยังไง หนูก็จะอยู่ข้างๆพี่เสมอค่ะ”

อัมมาวดีคลี่ยิ้มบางๆ มือของเธอยกขึ้นตบหลังน้องสาวเบาๆ

ไม่ว่าเธอจะรู้สึกโดดเดี่ยวมากแค่ไหน จะเป็นยังไง... แต่อัมพิกาก็เป็นคนเดียวที่ทำเธอมีเรี่ยวแรงสู้ต่อไปได้ เหมือนพ่อกับแม่บอกเสมอว่า... อัมพิกาเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของเธอ ่

“ขอบใจนะอามิ น้องพี่น่ารักที่สุด”

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน คฤหาสน์ตระกูลเชาฮานก็สว่างไสวไปด้วยแสงไฟอ่อนละมุนจากโคมไฟ

แก้วที่ประดับประดาอยู่ทั่วบริเวณสวนริมทะเลสาบ เสียงดนตรีบรรเลงจากวงเครื่องสายสี่ชิ้นขับกล่อมแขกเหรื่อที่ทยอยเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงมื้อค่ำ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความหรูหราและอบอุ่น แขกส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจระดับสูง ข้าราชการ และบุคคลสำคัญทั้งในอุทัยปุระและเมืองอื่นๆ ต่างแตงกายด้วยชุดพื้นเมืองอันงดงาม สตรีสวมส่าหรีและเลเฮนกาหลากสีสันประดับด้วยเครื่องเพชรแวววาว สุภาพบุรุษอยู่ในชุดเชอร์วานีและครุตาปักลวดลายประณีต

อัมมาวดีในชุดเลเฮนกาสีชมพูเข้ปักเลื่อมทองระยับ ผมยาวสลวยของเธอถูกเกล้าครึ่งศีรษะประดับด้วยปิ่นทองฝังทับทิม เธอดูสง่าและโดดเด่นราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย ยืนเคียงข้างมารดาต้อนรับแขกด้วยรอยยิ้มหวานที่ดูฝืดเคืองประหลาด

“ สวัสดีค่ะท่านกงสุล ยินดีต้อนรับนะคะ” หญิงสาวเอ่ยทักทายแขกผู้ใหญ่ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ท่าทีนอบน้อมของเธอทำให้ผู้ที่พบเห็นเอ็นดูเธอได้เป็นอย่างดี

“สวัสดีจ้ะ หนูอัมมาวดี ไม่เจอกันนาน สวยขึ้นเยอะเลยนะ” ท่านกงสุลเอ่ยชมด้วยรอยยิ้มเอ็นดู

ท่ามกลางกลุ่มแขกที่กำลังเริ่มทยอยเข้ามาร่วมงานกันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราฟี เชค นักธุรกิจดาวรุ่งจากมุมไบ ก้าวเข้ามาพร้อมกับ เลล่า เชค พี่สาวคนสวยของเขา ราฟีอยู่ในชุดเชอร์วานีผ้าไหมสีงาช้างปักดิ้นทองดูภูมิฐาน ดวงตาคมเข้มภายใต้คิ้วดกหนาฉายแววความหลักแหลมและทะเยอทะยาน ใบหน้าคมของเขาดึงดูดสายตาของหญิงสาวหลายคนในงาน ส่วนเลล่านั้นงดงามในชุดส่าหรีสีแดงทับทิมปักลวดลายดอกไม้สีทอง ผมดำสนิทถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยสูงประดับด้วยดอกมะลิ ดูสง่างามราวกับนางพญา

การมาของสองพี่น้องตระกูลเชคเรียกสายตาของผู้คนภายในงานได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะราฟี เชค นักธุรกิจหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่ใครหลายคนหมายปอง ทว่า... สายตาคนเข้มของเขากลับหยุดอยู่ที่หญิงสาวผู้หนึ่ง กำลังยืนสนทนากับแขกอยู่ไม่ไกล เธอดูสวยสง่า รอยยิ้มของเธอช่างตราตรึงใจของเขาเหลือเกิน

“นายมองอะไรอยู่น่ะเพื่อน” อาลีเอ่ยถามเพื่อนสนิทด้วยความสงสัย

“ผู้หญิงคนนั้น...เธอคือใครกัน? อาลี” เขาเอ่ยถามอาลี เพื่อนสนิทที่เจอกันในงานโดยบังเอิญ พยักพเยิดหน้าให้อีกฝ่ายมองตาม อาลีมองตามสายตาเพื่อน เขาก็เลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของเขามีประกายบางอย่างแวบผ่าน ก่อนจะหันไปตอบคำถามราฟีด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์

“ อ้อ นั้นคุณอัมมาวดี เชาฮาน เป็นลูกสาวคนโตของคุณปราโมทย์ เชาฮาน เจ้าของงานในคืนนี้ไงล่ะ เป็นไง... สวยสมคำร่ำลือใช่ไหม?”

“สวย... สวยมากจริงๆ” ราฟีตอบเสียงเบา ขณะที่สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่อัมมาวดีไม่วางตา

แต่แล้ว... หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้น เมื่อร่างของเธอก้าวเดินมาทางเขาอย่างช้าๆ ใบหน้าประดับรอยยิ้มหวานไม่เสื่อมคลาย ราวกับเวลาหยุดหมุน ทุกอย่างพร่ามัวไปหมด ในสายตาเขามีเพียงร่างของเธอที่เด่นชัดมากกว่าสิ่งอื่นใด ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้น รอยยิ้มหวานระดับใบหน้าสวย มีเพียงสองสิ่งนี้ ก็ทำให้เขาราวกับต้องมนต์สะกด

“ สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่อุทัยปุระ และบ้านของเรานะคะ” อัมมาวดีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มสุภาพตามแบบฉบับ

“งานเลี้ยงของคุณจะได้น่าประทับใจมากเลยค่ะ บรรยากาศก็ดีมาก ได้ยินชื่อเสียงของครอบครัวคุณมานาน ไม่ผิดหวังจริงๆที่ตอบรับคำเชิญ” เลล่าเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม

“ใช่ครับ ผมขอขอบคุณสำหรับสำหรับคำเชิญในครั้งนี้” ราฟีพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มลึก เขายื่นมือออกไปสัมผัสมือเรียวของเธออยากสุภาพ พร้อมส่งรอยยิ้มอบอุ่น ทำให้เธอรู้สึกประหม่าเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก

“ด้วยความยินดีอย่างยิ่งค่ะ” ถึงแม้จะรู้สึกประหม่า แต่เธอก็ยังตอบกลับด้วยถ้อยคำสุภาพ ในใจก็รู้สึกชื่นชมกับความสง่าและความเป็นกันเองของสองพี่น้องตระกูลดัง

หลังจากพูดคุยเรื่องทั่วไปอยู่ครู่หนึ่ง อัมมาวดีก็ปลีกตัวออกมาอยู่ห่างๆ เฝ้ามองแขกเหรื่อด้วยใบหน้าเรียบเฉย ราฟีก็เห็นโอกาสที่จะได้พูดคุยกับเธอตามลำพัง ในขณะที่พี่สาวของเขาและอาลีหันไปพูดคุยกับแขกคนอื่นๆ

“ทำไมถึงมายืนอยู่คนเดียวล่ะครับ?” เสียงนุ่มนวลของเขาดังขึ้นพร้อมร่างสูงสง่าเดินเข้ามา ในมือของเขาถือแก้วแชมเปญเอาไว้

หญิงสาวชะงักเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง เธอหันไปทางต้นเสียง ก็พบกับราฟี ยืนอยู่ด้านหลัง ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มทรงเสน่ห์

“คุณราฟี”

“คุณอัมมาวดีครับ ผมคงต้องขอบอกตามตรงว่าคืนนี้ คุณดูสวยโดดเด่นที่สุดในงาน จนผมไม่อาจละสายตาไปจากคุณได้เลย” นักการเมืองหนุ่มกล่าวชมด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความจริงใจ แววตาของเขาก็ไม่ได้ส่อแววเรื่องชู้สาวเลยแม้แต่น้อย ทว่า... น้ำเสียงนั้นราวกับมีแรงดึงดูดให้เธอนิ่งฟังด้วยความตั้งใจ

“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะคุณราฟี” หญิงสาวตอบกลับด้วยถ้อยคำสุภาพ ถึงแม้ว่าจะโดนแรงดึงดูดบางอย่างจากชายตรงหน้าก็ตาม

“ ผมได้ยินมาว่าคุณเป็นดีไซเนอร์และมีห้องเสื้อเป็นของตัวเอง” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุย ไปในสิ่งที่รู้ว่าเธอสนใจเรื่องอะไรและเป็นประโยชน์ต่อเขา

“ ผมเองก็มีโปรเจคที่จะสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ในมุมไบอยู่หลายโครงการ แต่ก็ยังไม่เจอสไตลิสต์ที่ถูกใจเลย ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมอยากจะขอให้คุณช่วยเรื่องนี้หน่อยได้ไหมครับ?” คำถามจากเขาเปรียบเสมือนกุญแจที่ไขเข้าไปในประตูแห่งความปรารถนาในใจของเธอ ดวงตาที่เคยหม่นหมองของอัมมาวดีก็พลันเปล่งประกายขึ้นมา

นี่สิ... ถึงจะเป็นสิ่งที่เธอโหยหา โอกาส ความท้าทายและการได้พิสูจน์ตัวเองในเวทีที่ใหญ่กว่าอุทัยปุระ

“จริงหรอคะ... น่าสนใจมากๆเลยค่ะ” เธอตอบกลับเสียงนุ่ม พยายามเก็บซ่อนความตื่นเต้นในน้ำเสียงเอาไว้ แต่หัวใจของเธอกลับเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาจากอก

“จริงสิครับ ” ชายหนุ่มเผยยิ้มขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของเธอ

เป็นอย่างที่คิดจริงๆ... เธอมีความทะเยอทะยานอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด

“ ผมชื่อสายตาและพรสวรรค์ของคุณ มุมไบเป็นเมืองแห่งโอกาส ถ้ามีคนเก่งอย่างคุณไปช่วย โปรเจคของผมก็คงประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน” มือเรียวข้างหนึ่ง ล้วงหยิบนามบัตรเคลือบทองของเขาในกระเป๋าเสื้อสูทแล้วยื่นให้เธออย่างนุ่มนวล

“ถ้าคุณสนใจ... ก็ติดต่อมานะครับ แล้วค่อยมาคุยรายละเอียดกันทีหลัง” อัมมาวดีมองนามบัตรเคลือบทองในมืออีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนจะยื่นมือรับมันมาอย่างไม่ลังเล สัมผัสเย็นๆของกระดาษแข็งแล่นเข้าสู่หัวใจของเธอราวกับมีกระแสไฟอ่อน หญิงสาวเงยหน้ามองเขาด้วยสายที่เปล่งประกาย

“ฉัน...” เธอกำลังเอ่ยปากตอบรับ ทว่า... ยังไม่ทันได้จบประโยคดี เสียงทุ้มนุ่มคุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“อามู... ขอโทษที่มาช้า พอดีผมเพิ่งคุยงานกับพ่อของคุณเสร็จ” ร่างสูงใหญ่ของศิวะ อัคราวัล ก้าวมาหยุดยืนอยู่เคียงข้างเธอ พร้อมยกวงแขนแกร่งโอบรอบเอวบางอย่างคุ้นเคย ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มอบอุ่นอยู่เสมอ เขาสวมชุดเนห์รูสีน้ำเงินเข้ม ขับให้ผิวของเขาดูโดดเด่น เสริมให้ท่าทางของเขาดูมั่นคงและน่าเกรงขาม

อัมมาวดีสะดุ้งเล็กน้อย หัวใจที่เคยฟูฟ่องด้วยความตื่นเต้นก็พลันหดเกร็งลงด้วยความรู้สึกผิด สัมผัสเบาๆที่ทำให้เธอเคยรู้สึกอุ่นใจ ตอนนี้มันกลับเป็นเหมือนบ่วง... รัดเธอจนหายใจไม่ออก

“ศิวะ...” น้ำเสียงแผ่วเบาปนสั่นเครือเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก

ศิวะพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า สายตาคมกริบของเขามองราฟีอย่างประเมิน แต่ริมฝีปากก็ยังคงประดับรอยยิ้มสุภาพไว้บนใบหน้า

“นี่คือ...”

“เอ่อ...ศิวะคะ นี่คุณราฟี เชค ค่ะ” ไม่รอให้เขาพูดจบ อัมมาวดีก็เอ่ยขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงติดขัด

“คุณราฟี นี่ศิวะ อัคราวัล... คู่หมั้นของฉันเองค่ะ”

คำว่าคู่หมั้นที่หลุดออกจากปากตัวเอง กลับทำให้หัวใจของเธอเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แทนที่จะภูมิใจเหมือนทุกครั้ง

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณราฟี” เขายื่นมือออกไปข้างหน้า ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นที่ประดับอยู่บนใบหน้า

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ คุณศิวะ” ราฟียื่นมือออกไปจับมือของอีกฝ่ายตามมารยาท รอยยิ้มของเขาดูนุ่มนวลหน้าเป็นมิตร แต่แววตากลับฉายความท้าทายออกมาวูบหนึ่ง จนศิวะเผลอบีบมือของเขาแน่น ดวงตาสีนิลของชายหนุ่มยังคงสงบนิ่ง แต่กลับแฝงไปด้วยอำนาจบางอย่างที่ทำให้เขาต้องยอมปล่อยมือออกก่อน

ศิวะหันกลับมาหาคนรัก พลางรั้งเอวเธอเข้ามาชิดตัวเขามากกว่าเดิม

“ ผมเห็นคุณยืนอยู่คนเดียวตั้งนาน นึกว่าจะเบื่อซะแล้ว” เขาก้มลงกระซิบข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ ทนอีกนิดนะครับ เดี๋ยวผมจะพาไปพัก” อัมมาวดีได้แต่ฝืนยิ้ม แล้วพยักหน้ารับ ในขณะที่สายตาเหลือบมองผู้ชายอีกคนที่กำลังโค้งศีรษะให้เล็กน้อยเป็นเชิงจากลา ก่อนจะผละเดินจากไป

ท่ามกลางเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะของผู้คน บรรยากาศรื่นเริงและชวนผ่อนคลาย แต่เธอกลับมีความรู้สึกสับสนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอกำลังยืนอยู่เคียงข้างชายคนรัก ผู้ที่เป็นรักแรกและเป็นดั่งโลกทั้งใบของเธอมาตลอดสามปี แต่ในมือของเธอ... กลับกำนามบัตรของชายอีกคนไว้แน่นราวกับว่ามันเป็นตั๋วสำหรับโอกาสให้เธอได้ทำในสิ่งที่ใฝ่ฝัน

ราฟี เชค เข้ามาพร้อมความทะเยอทะยานและโอกาสอันหอมหวานที่ยากจะปฏิเสธ เส้นทางชีวิตที่อัมมาวดีเคยคิดว่ามันชัดเจน ตอนนี้กลับมองเห็นทางแยกขึ้นมาเสียแล้ว

และเธอ...ก็ไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองจะเลือกเดินไปเส้นทางไหน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel