เพื่อนใหม่ 2
ในฐานะผู้รับใช้โลหิตของเจ้าชายไคน์ผู้ปกครองมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ไม่มีใครกล้าหือหรือกล้าอวดดีกับเธออีกแล้ว เพราะเจ้าชายเคยประกาศเอาไว้ว่าหากใครกล้ามีเรื่องกับเธอก็เหมือนการท้าทายเจ้าชาย เช่นนั้นแล้วแวมไพร์หนุ่มทั้งสามคนจึงรีบวางมือและกล่าวขอโทษทันที
“ขะ...ขอโทษครับ คุณไอรีน”
แวมไพร์พวกนั้นรีบวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต พวกเขาไม่มีใครกล้าเสี่ยงมีเรื่องกับเธอในตอนนี้หรอก เจ้าชายไคน์กิตติศัพท์ชื่อเสียงนั้นขนาดไหน ใครๆในเมืองนี้ก็ต่างเกรงกลัว
“เป็นอะไรมากไหม ลุกขึ้นมาก่อน ไหวไหม”
คนตัวเล็กเอ่ยถามอีกคนด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงพร้อมกับช่วยพยุงให้เขาลุกขึ้น เธอพาชายผู้นั้นไปยังห้องพยาบาล และช่วยจัดการทำแผลให้เขา เสียงหวานเอ่ยถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“เจ็บมากไหม ทำไมพวกนั้นถึงทำร้ายนายขนาดนี้”
“ผมเป็นมนุษย์ เหมือนกับคุณ”
คนตัวเล็กตกใจเมื่อได้ยินคำตอบจากอีกฝ่าย เขาเป็นมนุษย์ ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังมีมนุษย์ที่มีโชคชะตาเหมือนเธอ ไอรีนยกมือขึ้นแตะที่หัวไหล่เบาๆเพื่อเป็นการปลอบโยนเขาอีกครั้ง
“คุณชื่ออะไรเหรอคะ ทำไมฉันไม่เคยเห็นคุณเลย”
“ผมชื่อเจโรมครับ เป็นมนุษย์ที่เรียนอยู่ที่นี่ เหมือนกันกับคุณ คุณไอรีน เมอร์ตัน”
คนตัวเล็กดวงตาเบิกโพรง เธอรู้สึกตกใจไม่น้อยที่อีกฝ่ายรู้จักชื่อของเธอทั้งที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก
“คุณ...รู้จักชื่อฉันได้ยังไงคะ?”
“คนสำคัญของเจ้าชายไคน์ ใครบ้างไม่รู้จัก คุณต้องสำคัญกับเจ้าชายมากแน่ๆเลยครับ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้รับใช้โลหิตข้างกายเจ้าชายหรอก”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันแค่...เอ่อ...ฉันแค่โดนบังคับน่ะ”
“เพราะอะไรล่ะครับ”
ชายหนุ่มถามเธอด้วยท่าทางสงสัยใคร่รู้ คนตัวเล็กลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบออกไป
“ฉันบังเอิญไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า เลยถูกเจ้าชายบังคับให้เป็นผู้รับใช้โลหิต ฉันเกลียดแวมไพร์ เกลียดที่สุด”
ไอรีนเอ่ยขึ้นพร้อมกับกำมือแน่น ทำให้อีกคนที่นั่งฟังอยู่นั้นเห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งที่เธอพูดออกมาล้วนเป็นความจริง ท่าทางที่เธอแสดงออกนั้นมองแค่ตาเดียวยังรับรู้ได้เลยว่าเธอเกลียดพวกแวมไพร์ขนาดไหน
“พวกแวมไพร์ช่างน่าขยะแขยง คิดว่าพวกเราไม่มีทางสู้ก็ลงมือทำร้ายพวกเราอย่างเลือดเย็น ผมก็เกลียดแวมไพร์ พวกนั้นทำร้ายคนที่ผมรัก และยังรังแกผมไม่เว้นแต่ละวัน”
คนตัวเล็กนั่งฟังอย่างตั้งใจ บนดินแดนแห่งนี้อย่างน้อยก็ยังมีคนที่รู้สึกเหมือนเธอ คนที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับพวกแวมไพร์ คนที่พร้อมที่จะต่อต้านพวกแวมไพร์ไปพร้อมกับเธอ
“เราจะเป็นเพื่อนกันได้ไหมครับ คุณไอรีนจะรังเกียจผมไหม”
“ไอรีนยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับคุณค่ะ พวกเราเป็นมนุษย์เหมือนกัน และต้องพบเจอเรื่องราวที่เหมือนๆกัน เราต้องแข็งแกร่งและไม่ยอมให้แวมไพร์พวกนั้นมาทำอะไรพวกเราได้อีกนะคะ”
“ขอบคุณนะครับ ที่ยอมเป็นเพื่อนกับคนอย่างผม เรียกผมว่าเจโรมก็ได้ครับ เรียกคุณมันดูห่างเหินมากเกินไป”
“ได้ค่ะ ในเมื่อเป็นเพื่อนกันแล้วก็ไม่ต้องเรียกคุณเช่นกันค่ะ เรียกแค่ไอรีนนะคะเจโรม แล้วนี่เจโรมอยู่ห้องไหนเหรอ เดี๋ยวไอรีนจะเดินไปส่ง เพราะถ้าไปเองคนเดียวมีหวังโดนพวกนั้นรังแกอีก”
“ปีหนึ่ง ห้อง D น่ะ ขอบคุณไอรีนมากๆเลยนะ ตอนกลางวันพักเที่ยงมากินข้าวด้วยกันไหม”
“ได้สิ ทุกทีไอรีนก็ไม่มีเพื่อน ตัวคนเดียวมาตลอด ตอนนี้มีเจโรมเป็นเพื่อนแล้ว ดีไม่น้อยเลย”
คนตัวเล็กพยุงเจโรมเดินไปส่งเขาถึงห้อง มิตรภาพใหม่ที่เกิดขึ้นนี้และทุกการกระทำอยู่ในสายตาของเจ้าชายผู้ปกครองมหาวิทยาลัยที่ยืนมองคนตัวเล็กกับเพื่อนใหม่ของเธอผ่านหน้าต่างที่ห้องส่วนตัวในมหาวิทยาลัย
“รู้จักกันแค่ไม่กี่นาที ก็ยอมให้เขาแตะเนื้อต้องตัว ดูเหมือนว่าฉันจะใจดีกับเธอมากเกินไปจริงๆ”
ช่วงเวลาพักกลางวัน ที่โรงอาหารขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัยประจำเมืองหลวง เหล่านักศึกษาทั้งมนุษย์และแวมไพร์ต่างเร่งรีบ ที่นี่จะมีโซนอาหารสำหรับมนุษย์และโซนอาหารสำหรับแวมไพร์แบ่งแยกกันชัดเจน ร่างบางเดินมาถึงโรงอาหาร สายตาของเธอกำลังมองหาคนที่ได้นัดเอาไว้ว่าจะมาเจอกันที่จุดนัดพบ
“ไอรีน...ทางนี้”
เสียงของคนที่เธอมองหาดังขึ้นร้องเรียกให้เธอไปนั่งยังโต๊ะกินข้าวที่เขาได้จองเอาไว้
“เจโรม...รอนานไหม”
“ไม่นาน เราเพิ่งจะลงมาเหมือนกัน ไปเอาอาหารกันเถอะ”
ทั้งคู่นั่งกินอาหารกลางวันและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไอรีนและเจโรมสนิทกันได้อย่างรวดเร็วราวกับว่ารู้จักกันมานาน ทั้งคู่ลุกจากโต๊ะอาหารเดินออกไปนั่งเล่นรอเวลาเข้าเรียนที่ม้านั่งใต้ร่มไม้ ไม่นานนักก็มีร่างสูงที่คุ้นเคยเดินเข้ามาทักทายทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ผู้รับใช้โลหิตของฉัน เหตุใดถึงมานั่งกระหนุงกระหนิงกับผู้ชายคนอื่นเช่นนี้ล่ะ”
“ไคน์!!”
“จะ...เจ้า...ชาย”
เจโรมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น ในเวลานี้เขาตัวสั่นงันงกราวกับว่าผู้ที่เข้ามาทักทายเป็นปีศาจร้ายที่แสนน่ากลัว
“เธอควรแนะนำเพื่อนใหม่ให้ฉันรู้จักหน่อยนะ”
ไคน์เอ่ยขึ้นอีกครั้งและหันหน้าไปทางฝั่งของเจโรมที่เอาแต่นั่งก้มหน้าหลบเขาด้วยความเกรงกลัว
“ไคน์!! นายกำลังทำให้เขากลัวนะ!”
“หึ!! น่าเบื่อ เอาล่ะ ไม่อยากรู้จักฉันก็ไม่เป็นไร เอาไว้ฉันค่อยทำความรู้จักกับนายใหม่ก็ยังไม่สาย หึ!!”
ก่อนจะเดินออกไปเขาไม่ลืมที่จะก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูของคนตัวเล็ก ถ้อยคำที่เขาเอื้อนเอ่ยออกมานั้นทำเอาเธอถึงกับขนลุกซู่
“สงสัยรอยกัดแค่นั้นมันยังไม่ทำให้เธอรู้สินะว่าเธอเป็นคนของใคร เอาไว้คืนนี้ฉันจะสอนให้เธอรู้ก็แล้วกันนะสาวน้อย ว่าการที่เป็นคนของเจ้าชายไคน์ ต้องทำตัวเช่นไร....”
