ตอนที่ 4
ในขณะที่สามเพื่อนเกลอเดินผ่านอยู่บนไหล่เขา แสงจันทร์ที่ส่องกระทบลงเป็นสายพร้อมกับเสียงครวญคร่ำของอะไรบางอย่างมันทำให้พวกเขาที่กำลังกรึ่มๆ น้ำเมากันได้ที่แทบจะสร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง ทว่าไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เป็นเพราะความห่ามที่อยากรู้ว่า สุดสายปลายทางที่แสงจันทร์ส่องลงไปใต้ท้องทะเลนั้นจะไปสิ้นสุดลงที่ใดหรืออาจตกกระทบกับทรัพย์สมบัติอันมีค่าใด ที่เทวดาบันดาลมาให้เขาทั้งสามคนแล้วในวันนี้
ความรู้สึกของเขาในวันนั้นคือแค่อยากรู้แต่ไม่ได้อยากได้ในสิ่งที่เจ้าของไม่อนุญาตเพราะนั่นคือการผิดศีล 5 ที่เขาได้รับไว้ เพราะวันนี้ก็เท่ากับผิดศีลข้อ 5 ไปเสียแล้ว เขาจึงไม่อยากผิดอีก 4 ข้อที่เหลือ แต่ความห่ามบวกกับเพื่อนเฮไหนเฮกันทำให้เขาขัดไม่ได้ และสิ่งที่ค้นพบก็คือ “แจกันโบราณ” ที่มีเจ้าของเฝ้าอยู่
ความเย็นของสายน้ำด้านใต้แม้ผ่านมากว่า 50 ปีแต่เขายังเหมือนรู้สึกได้ในทุกขณะที่มองเห็นแสงจันทร์สาดส่อง ในคืนเพ็ญ “เจ้านาง” ผู้มีอยู่จริงนั้น เขาคงไม่สามารถบรรยายให้ใครฟังได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวนั้น เรือนร่างและใบหน้าที่เหมือนถูกไฟเผาไหม้เป็นบางส่วนจนเนื้อกายหลุดล่อน และเสื้อผ้าโบราณที่เขาก็เดาไม่ถูกว่าจะเป็นในสมัยใด รู้แต่ว่าเรือนผมเกล้าสูงนั้นก็หลุดลุ่ยจนไม่เป็นทรง แม้รูปกายจะดูน่าสะพรึงกลัวปานใด ทว่าสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นกลับเป็นดวงตาโปนแดงเท่าลูกหมากที่เบิกโพลงมองดูพวกเขาที่ตะเกียกตะกายหนีตายกันสุดชีวิต และเพราะ “เจ้านาง” นั้นปรานีเขาจึงยังหลงเหลือลมหายใจ
ภาพนั้นยังคงติดตาจนถึงเวลานี้ และที่เขาเลือกซื้อที่ดินผืนนี้เพื่อสร้างครอบครัว ก็เพียงเพื่อต้องการไถ่บาปและเป็นการป้องกันคนโลภที่ยังมีอยู่มากมายเหลือเกินบนโลกมนุษย์นี้ ไม่ให้เข้าไปข้องแวะหรือไปรบกวนท่าน จนเมื่อกรมศิลปฯ มีกำหนดสำรวจซากเรือบริเวณนี้ เขาจึงให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพื่อรักษาสิ่งมีค่าของชาติให้รอดพ้นจากนักโจรกรรมใต้น้ำ และเพราะไม่อยากให้ท่านมีบาปติดตัว แม้ว่าคนโลภเหล่านั้นจะสมควรแล้วแก่ความตายก็ตาม
“เจ้านาง.. ขอรับ อย่าให้ดวงวิญญาณของท่านต้องมีบาปอีกเลย”
คำพึมพำของพ่อใหญ่จงทำให้อนลส่ายศีรษะไปมาก่อนจะถอยกายออกมาอย่างเงียบๆ เพราะดูเหมือนพ่อใหญ่จงจะอยู่ในเพียงภวังค์ ไม่ได้สนใจว่าจะมีเขายืนอยู่ ณ ตรงนั้นด้วยหรือไม่
อนลเดินกลับมาที่ห้องนอนก่อนจะเดินไปหยุดยืนที่บานหน้าต่าง ที่เปิดรับลมทะเลยามค่ำคืนและมองเลยไปยังเส้นแสงที่ส่องผ่านลงไปเบื้องล่าง สถานที่ที่พ่อเฒ่าเจ้าของเรือนเชื่อว่าเป็นที่มาของเสียงคร่ำครวญที่ล่องลอยมาตามลม
“ฟังไม่ได้ศัพท์ รู้แต่ว่ามันเต็มไปด้วยความเศร้า ความห่วงหา ความอ้างว้างและความแค้นเคืองอาฆาต ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น”
“ทำไมถึงว่าฟังไม่ได้ศัพท์ ในเมื่อ..”
“มิว่าภพใด ข้าจักเฝ้าติดตามถามหา จนกว่าอรุณรุ่งของข้าจักมาถึง”
เสียงครวญคร่ำแผ่วเบา ทว่าเขายังจับได้ในน้ำคำ หากฟังไม่ผิดเธอครวญคร่ำด้วยคำเหล่านี้ปะปนสลับไปมากับเสียงกรีดร้องหวีดหวิวลอยตามลม หรือว่าทั้งหมดนั่นเขาหูฝาดไปเอง อนลส่ายศีรษะไปมาก่อนจะถอยกลับมานั่งลงบนเตียง ในเมื่อพ่อใหญ่จงก็พูดแล้วว่าไม่เคยมีใครจับความหมายในเสียงนั้นได้แล้วเขาเป็นใครล่ะ คนที่เพิ่งมาเหยียบถิ่นนี้เป็นครั้งแรกหากฟังเข้าใจเป็นคำพูดได้อย่างนั้นคงจะพิลึกแล้ว
อนลเอี้ยวตัวปิดไฟที่หัวเตียงก่อนจะค่อยๆ ผ่อนกายลงนอน หน้าที่ที่รอคอยอยู่เมื่อรุ่งสางนั้นสำคัญมากจนเขาต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะแม้จะมีอุปกรณ์ดำน้ำที่ทันสมัยมากกว่าเดิมจนทำให้สามารถดำน้ำได้ลึกได้นานและปลอดภัยมากขึ้น แต่สุขภาพร่างกายของนักดำน้ำก็ต้องแข็งแรงและสมบูรณ์ 100% เขาจึงต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอและหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะขณะดำน้ำยิ่งลึกมากเท่าไรก็จะมีแรงต้านเพิ่มมากขึ้น นักดำน้ำต้องใช้กำลังแขนกำลังขาแหวกว่ายไปข้างหน้ามากขึ้น และยิ่งเขาไม่ได้ว่ายอย่างเดียวแต่ต้องทำหน้าที่สำรวจงานไปด้วย ร่างกายเขายิ่งต้องพร้อมให้มากกว่าใคร
นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเกือบตี 1 เขายังมีเวลานอนต่อกว่า 5 ชั่วโมงกว่าจะถึงเช้า ทว่าสัญญาณโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบก็ทำให้เขาต้องรีบคว้ากดรับในทันที เพราะซิม 2 เรียกเข้านั้นเขามีไว้เฉพาะ “ลูกค้า” เท่านั้น
“ครับ.. จะดำพรุ่งนี้ แล้วจะดูไว้ให้นะครับ แต่ผมยังไม่รับปากว่าจะสมบูรณ์หรือเปล่าเพราะยังไม่เห็นของ ครับ.. ครับ.. ถ้าได้ของจะ SMS บอกราคา ครับ.. พรุ่งนี้ค่ำๆ ผมจะโทรหา ครับ..”
สิ่งที่เขาก่อไม่อาจหวนคืน “เงินคือพระเจ้า” เขาคือหนึ่งที่คิดแบบนั้น วังวนแห่ง “ความอยาก” เขาหลีกหนีมันไม่พ้นจริงๆ ทำได้แม้แต่ทรยศอาชีพของตัวเอง แต่ความอยากได้อยากมีเหล่านั้นมันทำให้เขาเป็นคนบาปจริงๆ นะเหรอ อนลนอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดก่อนจะพยายามข่มตาให้หลับลง และเสียงกรุ๊งกริ๊งแผ่วเบาที่แว่วมาดังเสียงดนตรีขับกล่อมก็ทำให้เขาล่วงเข้าสู่นิทรารมณ์
