บทที่ 2
“นั่นไง แสดงว่าแกก็หวัง”
“ไม่ได้หวัง ฉันเข้าห้องแล้ว อีกสองสามชั่วโมงจะไปช่วยที่บาร์” ฉันรีบตอบตัดบทจนลิ้นพันกัน แต่ดูเหมือนจะรอดยาก เพราะณิศารู้ทันแล้วแน่ๆ แต่กลับไม่แซวอะไรกลับมา
“โอเค” ณิศาเอ่ยรับยิ้มๆ แล้วช่วยฉันหอบหิ้วสัมภาระที่ขนมายังกับย้ายบ้านขึ้นห้องพัก สำรวจที่ทางจนพอใจจึงกลับออกไป
เกสเฮาส์ที่นี่แม้จะได้ชื่อว่าเกสเฮาส์ แต่ห้องพัก รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มีพร้อม ไม่ได้แพ้โรงแรมระดับห้าดาวเลยด้วยซ้ำ
ห้องที่ณิศาจองไว้ให้ฉันนั้นถือว่าเป็นห้องที่ดีที่สุดของตึก เป็นห้องเดี่ยวที่มีเพียงห้องเดียวและอยู่ชั้นบนสุด เรียกได้ว่าดาดฟ้าทั้งชั้นฉันจอง
เมื่อเก็บข้าวของ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ฉันก็คว้ากระเป๋าสะพายใบเล็กที่ในนั้นมีเอกสารสำคัญต่างๆ เงินสด โทรศัพท์มือถือ และที่ขาดไม่ได้คือกล้องถ่ายรูป นานๆ ได้เปลี่ยนจากใส่ชุดเดรส รองเท้าส้นสูง มาเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น สวมรองเท้าแตะแบบนี้ก็สบายดีไปอีกแบบ
จากนั้นฉันก็ตรงลิ่วไปยังชายหาด เดินบนทรายได้ไม่กี่ก้าวก็เปลี่ยนมาถอดรองเท้าออก ปล่อยให้ฝ่าเท้าเปลือยได้ย่ำลงไปบนผืนทรายบ้าง สปาธรรมชาติแบบนี้หาได้ไม่ง่ายในเมืองกรุง ไหนจะอากาศที่ตอนนี้กำลังเย็นสบาย พระอาทิตย์กำลังคล้อยลงต่ำจนเกือบจะลับขอบฟ้า ฉันไม่รีรอที่จะถ่ายรูปเก็บเกี่ยวบรรยากาศรอบๆ ตัวไว้
“หืมมม” ฉันอุทานออกมา เพราะขณะที่กำลังถ่ายรูป กล้องกลับโฟกัสไปยังซิกแพคของใครคนหนึ่งเข้า เขาคนนั้นกำลังเดินขึ้นมาจากทะเล ฉันนี่รีบกดชัตเตอร์รัวๆ ไล่มาตั้งแต่ต้นขา เป้าตุงๆ ที่ทำเอาฉันกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ แถมสมองก็จัดแจงมโนถึงขนาดของมันไปไกลตามประสาคนอ่อนประสบการณ์
“โอ๊ย! พอๆ กำเดาจะไหล” ฉันพยายามหยุดโฟกัสเป้า เพื่อจะไล่สายตาถ่ายซิกแพคสวยๆ กล้ามเป็นมัดๆ นั่นอีก เวลานี้ใจฉันเต้นแรงมาก รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เหมือนจะเป็นไข้บอกไม่ถูก
ในจังหวะที่กำลังจะโฟกัสที่ใบหน้าของชายคนดังกล่าว เด็กน้อยคนหนึ่งกลับวิ่งมาชนจนฉันแทบจะหน้าทิ่มไปกับผืนทราย
“ขอโทษครับป้า”
“ป้า!” ฉันเอ่ยทวนสรรพนามที่เด็กคนนั้นใช้เรียก รู้สึกเกลียดเด็กขึ้นมาก็ตอนนี้ หึ๋ย…หักคอจิ้มน้ำพริกซะดีไหม
“อื้อ…ป้านั่นแหละ ยืนเป็นยักษ์ให้หนูชนเองทำไม” เด็กชายตัวดำ สูงแค่เอว ยืนกอดอกแล้วยังคงเรียกฉันว่าป้า พอฟังจบประโยคฉันก็ส่งสายตาพิฆาตใส่ทันที อารมณ์นี้ฉันไม่ใช่นางงามต้องมานั่งรักเด็ก แถมกำลังจะอ้าปากอบรมอีกต่างหาก
แต่เหมือนเด็กแสบจะรู้ทัน พอเห็นฉันอ้าปากจะพูด ก็วิ่งแจ้นกลับไปหาผู้ปกครองโดยทันที แต่ระหว่างทางยังมีเวลาหันมาแลบลิ้น ปลิ้นตาใส่ฉันอีก ฉันนะเหรอ เหอะๆ…แลบลิ้นกลับไปสิ เรื่องอะไรจะยอม
“แบร่…”
พอแลบลิ้นใส่เด็กเสร็จ ฉันก็หันกลับไปยังพิกัดเดิมเพื่อจะถ่ายรูปต่อ แต่ทว่าเวลานี้กลับเจอเพียงความว่างเปล่า เจ้าของซิกแพคและเป้าตุงๆ ได้หายไปแล้ว
จังหวะเสียงเพลงมันๆ ดังขึ้นภายในบาร์ของณิศา ซึ่งมีทั้งที่เป็นห้องกระจกติดแอร์และส่วนโอเพ่นแอร์ริมชายหาด
ค่ำคืนของงานฟูลมูนได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ยิ่งดึกผู้คนก็ยิ่งแห่กันมา เรียกได้ว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่นักท่องเที่ยว ฉันคอยช่วยเสิร์ฟ ช่วยรับออเดอร์ แต่ไปๆ มาๆ ณิศาก็ให้ฉันหยุด โดยให้เหตุผลว่าฉันมาเที่ยว ไม่ได้มาใช้แรงงาน
“เล็งคนไหนไว้ บอกมา”
“ไม่มี” ฉันหันไปตอบณิศา ที่ยังอุตส่าห์แวะมาแซว ทั้งๆ ที่ตอนนี้ลูกค้าก็แน่นร้านไปหมด ส่วนสามีสุดหล่อของเพื่อนรัก ตอนนี้ก็กำลังง่วนอยู่กับการเป็นบาร์เทนเดอร์ ซึ่งเหล้าที่โจนาสผสมนั้น ฉันยังชอบ เพราะมันอร่อย แต่ถ้าเผลอดื่มไปเยอะ ก็เมาได้ง่ายๆ เหมือนกัน
“ถ้ามีแล้วบอก ฉันจะไปเป็นแม่สื่อให้”
“ย่ะ” ฉันเอ่ยรับอย่างหมั่นไส้ เพราะดูณิศาอยากให้ฉันมีแฟนเสียเหลือเกิน ก่อนที่ฉันจะผลักหลังให้เพื่อนกลับไปดูแลแขกคนอื่นๆ ต่อ ส่วนฉันก็คว้าแก้วเหล้าที่โจนาสผสมให้มาถือไว้ แล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวสูงแถวๆ เคาน์เตอร์บาร์ เพื่อจะได้มองเห็นบรรยากาศโดยรอบได้สะดวก
เกิดมาเตี้ยก็ต้องหาตัวช่วยกันหน่อย ฉันนั่งมองบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกพร้อมๆ กับจิบเหล้าในมือไปด้วย ที่นี่ทำให้ใจที่เบื่อๆ เซ็งๆ ของฉันรู้สึกดีขึ้นมาได้มาก แต่ขณะนั้นเอง ฉันกลับรู้สึกเหมือนมีใครกำลังมองอยู่ แต่พอหันไปยังทิศทางที่คิดว่าใช่ กลับไม่เจอใคร
“หรือเราจะรู้สึกไปเอง” ฉันบอกตัวเองแบบนี้ หรือว่า…คนที่มองอาจไม่ใช่คน
“บรื๋อออ” พูดแล้วฉันก็แอบขนลุกเล็กน้อยถึงปานกลาง เกิดเป็นผีขึ้นมาจริงๆ นี่คงต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดแน่นอน แต่วินาทีนี้ก็ยังคงรู้สึกว่าถูกใครสักคนมอง ฉันค่อยๆ รวบรวมความกล้า ก่อนจะหันกลับไปมองยังทิศทางที่รู้สึกนั้นอีกครั้ง
ทันทีที่ได้สบตา ฉันมั่นใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเขาไม่ใช่ผีแน่ๆ ผีอะไรจะหล่อ น่าลากออกปานนั้น แถมยังเป็นหนุ่มต่างชาติอีกต่างหาก โอ๊ย! ยิ่งเขาสบตากลับมาตรงๆ ฉันก็ยิ่งอาย แต่ก็ต้องสั่งใจให้นิ่งเข้าไว้ สงวนท่าทีไว้ก่อน จากนั้นฉันก็หันกลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
‘กรี๊ดดดด...จะเป็นลม’ นี่คือเสียงตะโกนของหัวใจฉัน ที่ตอนนี้มันเต้นแรงและรัวมาก มากกว่าการตกหลุมรักรุ่นพี่ที่บริษัทเสียอีก หรือว่าเนื้อคู่ของฉันจะเป็นคนต่างชาติ ไทยเสียดุลภาษีก็งานนี้นี่แหละ...ฮ่าๆ
ต่อมมโนของฉันทำงานจนกู่ไม่กลับ แต่ก็เผื่อใจไว้บ้างว่านี่อาจเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด เธอไม่ใช่สเปคหนุ่มตาน้ำข้าวหรอก กระทั่งฉันลองหันกลับไปมองจุดเดิม ก็ยังเห็นชายคนดังกล่าวอีก เขาขยับมายืนให้ฉันเห็นได้ใกล้ๆ และเรากำลังสบตากันอยู่ตอนนี้
ฉันไม่อาจซ่อนรอยยิ้มได้เลยจริงๆ แม้จะพยายามสั่งให้ปั้นหน้านิ่งๆ แล้วก็ตาม ดูเหมือนจะเสียจริตด้วยซ้ำไป ก็ตั้งแต่เกิดมาฉันเคยถูกผู้ชายหล่อๆ ล่ำๆ มองแบบนี้เสียเมื่อไหร่ ฉันจึงจิบเหล้าในแก้วเพื่อแก้เขิน ขณะนั้นก็แอบมองเขาผ่านแก้วในมือ ซึ่งเขาก็มองฉันอยู่แทบตลอดเวลา ฉันได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่าตัวเองต้องทำยังไงดี
