๑๓.๒ ข่าวร้ายในวัง
พิธีพระราชทานน้ำหลวงสรงศพของหม่อมเจ้าตะวันฉายผ่านไปถึงเจ็ดวัน หม่อมราชวงศ์รพีถึงเดินทางกลับมาถึงวังตุลยาธร เขาหอบเอาความเศร้าโศกเสียใจที่ได้รับข่าวร้ายกลับมาด้วยสภาพร่างกายที่อิดโรย ร่างสูงงองุ้มโผเข้ากอดพระพายด้วยหัวใจที่แตกสลาย
“บอกพี่ทีว่ามันไม่จริง”
“พี่ชายพี”
พระพายที่เข้มแข็งเป็นที่พึ่งให้มารดามาได้ถึงเจ็ดวันร้องไห้ไปกับคนรัก ความเสียใจตีตื้นขึ้นมาจุกอกจนยากที่พระพายจะหาคำใดมาปลอบโยนได้
“มันเกิดอะไรขึ้นครับ เมื่อหกเดือนก่อนท่านพ่อยังทรงแข็งแรงดีอยู่แท้ ๆ ทำไมอาการจึงทรุดลงเร็วเช่นนี้ล่ะครับหม่อม”
เมื่อกราบศพบิดาอย่างโศกาลัยอยู่ครู่ใหญ่ คุณชายรพีก็เริ่มรื้อหาสาเหตุการสิ้นชีพิตักษัยของหม่อมเจ้าตะวันฉายกับหม่อมจอมขวัญผู้มีหน้าที่ดูแลท่านทั้งเรื่องอาหารคาวหวานและโอสถ
“ดิฉันไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ คุณชายถามเอาจากหม่อมปรางทิพย์เถิดค่ะ” หม่อมจอมขวัญโยนให้หม่อมปรางทิพย์ที่จ้องจะรายงานตั้งแต่ที่รพีกลับมาถึงวัง
แล้วหลังจากนั้นเรื่องราวใส่สีตีไข่ก็ถูกถ่ายทอดออกมาจากปากหม่อมอายุน้อยที่จิตใจมีแต่ความเคียดแค้นชิงชัง คุณชายรพีนั่งฟังเงียบ ๆ อย่างใช้สติและเหตุผล เขาไม่ได้เชื่อคำของหม่อมปากร้ายไปทั้งหมดจนกว่าจะได้ยินเรื่องราวจากปากของสร้อยฟ้า แต่กระนั้นดวงตาคู่คมก็ทอประกายหม่นหมอง เขาเหลือบมองพระพายที่นั่งกำหมัดเม้มปากโดยไม่โต้ตอบสักคำอย่างหวั่นใจ ด้วยกลัวว่าสิ่งที่หม่อมปรางทิพย์กล่าวหามันจะใกล้เคียงกับความเป็นจริง
“คุณอาสร้อยฟ้าไปไหน?”
หลังสวดอภิธรรมจบลง คุณชายรพีก็ถามหาสร้อยฟ้าเพราะเขาไม่เห็นหน้าเลยตั้งแต่มาถึง
“คงไม่กล้าสู้หน้าคุณชายมั้งคะ”
หม่อมปรางทิพย์ใส่ไฟไม่เลิกด้วยเกลียดเข้ากระดูกดำไปเสียแล้ว
“คุณแม่คงอยู่ที่เรือนเล็ก ประเดี๋ยวน้องไปตามให้ครับ” พระพายอาสาและลุกออกมาจากหน้าที่ตั้งศพ
คุณชายรพีไม่อยากจะนั่งอยู่ตรงนี้เพราะหม่อมปรางทิพย์เอาแต่ก่นด่าสร้อยฟ้า เขาจึงตามพระพายออกมาด้วย
“พี่ไปด้วย”
ระยะทางจากเรือนใหญ่ไปยังเรือนหลังเล็กท้ายวังไกลมากพอที่ทั้งสองจะมีเวลาได้คุยกัน เมื่อเดินออกมาพ้นสายตาของคนจากเรือนหลังใหญ่ รพีก็จับมือของพระพายมากุมไว้
“ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอน้องก่อนกำหนดในสถานการณ์เช่นนี้”
“น้องขอโทษนะครับ”
“ขอโทษทำไม น้องไม่ได้ทำอะไรผิด”
“น้องดูแลท่านลุงไม่ดี”
“พี่คุยกับหมอแล้ว หมอยืนยันว่าท่านสิ้นด้วยโรคประจำองค์”
“ช่วงหลังมานี้ในวังมีหลายเรื่องเกิดขึ้น อาจทำให้ท่านลุงไม่สบายหทัย”
“เรื่องอะไรงั้นหรือ”
“น้องเกรงว่าจะเป็นการฟ้อง เอาไว้พี่ชายพีรอดูด้วยตาตัวเองเถิดครับ”
พระพายคิดว่าพูดมากไปก็จะเป็นการเข้าข้างมารดา ตั้งแต่คืนวันงานเลี้ยงหม่อมปรางทิพย์ก็เอาแต่หาเรื่องสร้อยฟ้า ทั้งกลั่นแกล้ง ต่อว่าด่าทอ ไม่เกรงใจท่านชาย โดยเฉพาะเรื่องเครื่องประทับทับทิมเจ้าปัญหา เธอว่าหากไม่อยากเป็นหม่อมของท่านดังที่ปากว่าแล้วไยไม่คืนมันให้ท่านชายไปเสีย สร้อยฟ้าบอกเธอมีเหตุผลที่จะต้องเก็บไว้ และพยายามเลี่ยงที่จะปะทะกับหม่อมปรางทิพย์จนกระทั่งคืนนั้นและมาจนถึงวันนี้
ทั้งสองจับจูงกันก้าวเดินผ่านสวนหลังวัง สองมือสอดประสานเกี่ยวกันไว้แนบแน่น หากไม่ได้อยู่ในอารมณ์เศร้าโศก รพีคงจะรั้งร่างน้องเข้ามากอดให้หายคิดถึง แต่ยามนี้บรรยากาศในวังตุลยาธรหม่นหมองเหลือเกิน ทั้งเขาและพระพายได้แต่สบตากันอย่างเข้าใจ ภาวนาแต่ว่าขอให้เรื่องเลวร้ายผ่านพ้นไปในเร็ววัน
“ทำไมกรงเจ้าจ้อยมาอยู่ตรงนี้”
พระพายอุทานอย่างตกใจเมื่อก้าวขึ้นเรือนมาแล้วพบกรงนกน้อยคู่ใจนอนตะแคงอยู่บนพื้นเรือน ปากกรงเปิดอ้า ภายในไร้เงาของเจ้าจ้อย
“ลมอาจจะพัดจนมันร่วงลงมาก็ได้ ว่าแต่เจ้าจ้อยมันหายไปไหน” รพีปลอบใจ เขาย่อตัวลงไปช่วยยกกรงนกกลับมาตั้งไว้
“หากมันร่วงลงมาเพราะแรงลม เจ้าจ้อยคงบินออกไปเตร็ดเตร่แถวนี้เช่นที่เคย ประเดี๋ยวมันก็กลับมาครับ”
รพีพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะพระพายเขียนจดหมายไปเล่าให้ฟังอยู่บ่อย ๆ ว่าเจ้าจ้อยมักบินไปเที่ยวเล่นไม่ยอมกลับเข้ากรง
“ว่าแต่คุณอาสร้อยอยู่ในเรือนแน่หรือ เหตุใดจึงมืดเช่นนี้เล่า”
“นั่นสิครับ”
ทั้งสองแปลกใจที่สร้อยฟ้าไม่ยอมเปิดไฟให้แสงสว่าง ภายในเรือนมืดราวกับไม่มีคนอยู่ มีเพียงโคมไฟตรงระเบียงเพียงดวงเดียวเท่านั้นที่ทอแสงสลัวพอให้เห็นประตูเรือนที่เปิดแง้มอยู่
“คุณแม่ครับ พี่ชายพีกลับมาแล้วครับ”
ในเนื้อเสียงของพระพายมีทั้งความดีใจและริ้วความกังวล เขาดีใจที่ได้พบหน้าคนรักและมีความหวังเรื่องล้างมลทินให้บิดา แต่ก็กังวลใจในคราเดียวกันเพราะสร้อยฟ้าทำเหมือนหลบหน้าคุณชายรพีไม่ยอมออกไปพบที่เรือนใหญ่ อีกทั้งยังกลัวว่ารพีจะไม่เข้าใจเรื่องที่สร้อยฟ้าอยู่ในเหตุการณ์ที่ท่านชายหทัยวายเฉียบพลันจนสิ้นชีพิตักษัย
ความกังวลทำให้มือเรียวที่เอื้อมไปผลักประตูดูจะขาดความมั่นใจ ประตูเรือนค่อย ๆ เปิดออกกว้าง ภายในเรือนหลังเล็กมืดสลัวไร้แสงสว่าง มีเพียงแสงของพระจันทร์ที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างเท่านั้นที่ทำให้พระพายมองเห็นบางอย่างที่อยู่กลางเรือน
“คุณแม่!!!”
ร่างของสร้อยฟ้าห้อยต่องแต่งอยู่กับขื่อ ที่คอของเธอมีเชือกเส้นหนึ่งรัดรึงเอาไว้ ทิ้งร่างดิ่งสู่เบื้องล่าง ปลายเท้าไม่ถึงพื้นกระดาน ใบหน้าเขียวคล้ำลิ้นจุกปาก ดวงตาเหลือกค้างอย่างน่าสยดสยอง
