บทที่ 12 คารวะท่านปู่
บทที่ 12 คารวะท่านปู่
ช่วงบ่ายของวันที่ซินหยานเดินทางมาถึงเมืองหลวงนางก็โดนเรียกตัวไปพบท่านปู่ของนางเป็นการส่วนตัว
เฉินซินหยานลุกขึ้นมาเปลี่ยนอาภรณ์ในชุดที่นางพึ่งซื้อมาใหม่ สีน้ำเงินและสีขาวสลับกันอย่างลงตัว เรียกว่าเป็นชุดที่ช่วยเรียกความมั่นใจก็ไม่ผิดนัก
“เชิญด้านในขอรับคุณหนู” อวี้หลางที่รออยู่หน้าห้องทำงานเจ้านายของเขาเอ่ยกับซินหยานที่พึ่งเดินมาถึง
นางพยักหน้าให้เขาเล็กน้อยเป็นการทักทายและอวี้หลางก็ส่งยิ้มให้นาง
“คารวะท่านปู่” ซินหยานที่เข้าไปถึงแล้วนางก็ย่อตัวและประสานมือคารวะท่านปู่ของนางทันที
“อืม นั่งก่อนสิ” เขาพูดเสียงเรียบพลางเบนสายตาไปยังที่นั่งที่จัดเตรียมไว้
“เจ้าค่ะ” ซินหยานรับคำ
นางคลานเข่าไปจนถึงที่นั่งและค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งหลังตรง
“ผอมเกินไปนะเจ้าหก ใต้เท้าเซียวดูแลเจ้าไม่ดีหรือไง” เขาถามเสียงเข้มแต่สีหน้ายังเป็นปกติไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่” ซินหยานรีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างร้อนรน ท่าทีสุขุมที่มีก่อนหน้าหายวับไม่ทันรู้ตัว
“งั้นหรือ” มหาเสนาบดีจ้องมองหลานสาวคนเล็กของเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าและปลายเท้าจรดศีรษะอีกครั้งแล้วก็ต้องส่ายหน้า
“ท่านตาดีกับข้ามากเจ้าค่ะ ข้าอาจจะกินข้าวไม่เก่งเอง” นางแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
ซินหยานในวัยแปดขวบนั้นตัวเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกันอยู่หลายส่วน
สาเหตุที่ร่างกายของซินหยานเติบโตช้าก็คงจะต้องโทษสตรีใจร้ายอย่างอดีตน้าสะใภ้ของนางผู้นั้น
“อยู่ที่นี่ก็ฝึกกินข้าวให้เยอะหน่อย ตัวเล็กแค่นี้จะไปทำอะไรได้” เขาออกคำสั่งเสียงเข้ม คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย
“เจ้าค่ะท่านปู่” ซินหยานรับคำเสียงอ่อน
สมกับเป็นอัครมหาเสนาบดีจริงๆ ขนาดหลานสาวแท้ๆยังแผ่แรงกดดันได้มากถึงขนาดนี้ ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่นางก็ไม่เคยชินสักที
“ข้ารู้ว่าเรื่องจดหมายเคยถามเจ้าไปแล้วแต่ข้าอยากถามกับเจ้าต่อหน้าอีกครั้ง เจ้าคือคนเขียนมันเองใช่หรือไม่”
เขาอาจจะพูดด้วยสีหน้าปกติแต่ซินหยานก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น นี่หลานเองไงเจ้าคะท่านปู่ไยต้องใช้สายตาคาดคั้นขนาดนั้นด้วย
“ใช่เจ้าค่ะข้าเขียนมันเองกับมือ” ซินหยานเงยหน้าเพื่อสบตากับคนอายุมากกว่าด้วยแววตาจริงจัง
เฉินรุ่ยเซียวกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยราวกับพึงพอใจกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่
“แต่ข้าเคยได้ยินว่าเจ้าไม่ชอบเรียนหนังสือ”
“ตอนนี้ก็ยังไม่ชอบเจ้าค่ะ แต่ข้าคิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องตั้งใจเรียน”
ซินหยานทันสังเกตเห็นรอยยิ้มมุมปากของท่านปู่นางเมื่อครู่ ขนลุกเกรียวไปทั้งร่างเลยล่ะ
เท่าที่จำได้นางไม่เคยเห็นท่านปู่ของนางแสดงสีหน้าแบบนั้นมาก่อนเลย หวังว่านั่นจะเป็นปฏิกิริยาที่ดี
“อืม เข้าใจก็ดีแล้ว” อัครมหาเสนาบดีหุบยิ้มทันทีที่เขารู้ตัว
ไม่บ่อยนักที่คนอย่างเขาจะแสดงอารมณ์ด้านนี้ออกมา ด้วยอำนาจและภาระที่แบกรับทำให้เขาแสดงออกทางอารมณ์มากไม่ได้
สิ่งที่ชอบและไม่ชอบล้วนให้ผู้อื่นล่วงรู้ไม่ได้ เขาจะไม่ยอมให้ผู้อื่นรู้จุดอ่อนของเขาเป็นอันขาด เพราะแบบนี้อัครมหาเสนาบดีกับบรรดาลูกๆของเขาถึงไม่ค่อยเหมือนพ่อลูกกันเสียเท่าไหร่ ลูกๆของเขาให้ความเคารพยำเกรงเขาเหมือนที่คนอื่นๆทำ แต่ไม่เหมือนในฐานะบิดา
จู่ๆบรรยากาศในห้องก็เงียบไป เงียบจนได้ยินเสียงของอวี้หลางที่เดินวนไปวนมาอยู่ด้านนอก
พอคิดว่าที่อวี้หลางเดินวนไปวนมาคงเพราะเป็นห่วงสถานการณ์ด้านในก็ทำให้ซินหยานหลุดยิ้ม
ชายชราที่เห็นว่าอยู่ดีๆหลานสาวของเขาก็ยิ้มขึ้นมาก็เผลอยิ้มตาม เขาเองก็คิดแบบเดียวกับนาง แต่น่าเสียดายที่ซินหยานไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มนั้น
“ท่านปู่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ สุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่” ซินหยานพยายามหาเรื่องคุย
“อืม ปู่สบายดีวันก่อนหมอก็พึ่งมาตรวจไป” สายตาของเขาที่มองหลานสาวเหมือนจะอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
ตั้งแต่ตอนที่อวี้หลางบอกเขาว่าหลานสาวคนเล็กของเขาถามถึงเขาด้วยความเป็นห่วงก็ทำให้เขาอารมณ์ดีไปหลายวันแล้ว แต่การได้ยินนางถามเองกับตัวนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เขาพึ่งรู้สึกเป็นครั้งแรกเลยว่าการกลั้นยิ้มนั้นมันยากลำบากขนาดนี้
“เราจะชะล่าใจไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านปู่ก็อายุเยอะแล้วด้วย”
ซินหยานบ่นเสียงเจื้อยแจ้วอย่างลืมตัว ภาพสกุลเฉินที่ไร้ท่านปู่ของนางคุ้มกะลาหัวนั้นช่างน่าอดสูจนนางลืมความเกรงกลัวที่มีต่อเขาไปชั่วขณะ
“อะแฮ่ม ! ” อัครมหาเสนาบดีกระแอมไอเพื่อเตือน
“แหะๆ ข้าหมายถึงว่าท่านปู่ก็อายุห้าสิบแล้วจะต้องระวังเรื่องอาหารการกินให้ดีเจ้าค่ะ อย่างเช่นพวกของรสจัดหรือของมันนี่ต้องหลีกเลี่ยงเลยนะเจ้าคะ”
ซินหยานยังคงพูดต่อไปเหมือนไม่ได้เกรงกลัวต่อสายตาดุดันของอีกฝ่าย
ถึงภายนอกจะไม่แสดงอาการอะไรแต่ความเป็นจริงแล้วซินหยานแทบจะควบคุมมือที่ซุกอยู่ใต้โต๊ะให้มันหยุดสั่นไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ไว้ปู่จะเอาไปคิดดู” อัครมหาเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่กำลังคิดว่าการมีคนเป็นห่วงมันก็เป็ฯเรื่องที่ดีเหมือนกัน
“ที่วางพู่กันใช้ดีไหมเจ้าคะ” ซินหยานอมยิ้ม นางคิดว่าเขาจะไม่สนใจมันเสียอีก
นางเห็นมันในตอนที่กำลังลอบสังเกตรอบห้องอยู่เนืองๆ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับโอกาสให้เข้ามาในห้องนี้
อีกหนึ่งสิ่งที่นางสังเกตได้คือด้านหลังโต๊ะทำงานของท่านปู่มีรูปท่านปู่ทวดแขวนอยู่ ท่านพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าท่านปู่ทวดเป็นบุรุษที่องอาจมากเขาเป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งแคว้นเหมือนท่านปู่ในตอนนี้
“อะแฮ่ม ! ก็ดี” เขาคิดว่าเขากำลังจะเสียท่าให้หลานสาวที่อายุแค่แปดขวบเสียแล้ว
“ท่านปู่กับท่านปู่ทวดเหมือนกันมากเลยนะเจ้าคะ” นางเหม่อมองรูปวาดบนผนังสลับกับคนตรงหน้า เหมือนกันมากจริงๆ
“เจ้ารู้ด้วยหรือว่าเขาคือใคร” เฉินรุ่ยเซียวขมวดคิ้ว
“ข้าเดาถูกใช่ไหมเจ้าคะ หน้าตาเหมือนกันมากแต่ท่านปู่ไม่มีไฝที่ใต้ตาเหมือนในรูปนั้น” ซินหยานยกนิ้วขึ้นมาชี้ที่ใต้ตาของตัวเองตำแหน่งเดียวกัน
“เจ้านี่ช่างสังเกตจริงๆสินะ”
“ข้าแค่อยากปรับตัวกับที่นี่ให้ดีที่สุดเจ้าค่ะก็เลยสังเกตทุกอย่างรอบตัว” นี่คือความคิดที่อยู่ในใจนางจริงๆ
ซินหยานต้องสังเกตว่าคนรอบตัวที่นี่เป็นอย่างไร เพราะนางในตอนแปดขวบไม่เคยก้าวขาเข้ามาในจวนแห่งนี้เลย ผู้คนก็อาจจะแตกต่างกับนางในวัยสิบสามหรือสิบแปดก็ได้
“เช่นนั้นก็ดี มาเถิดปู่จะไปส่งเจ้า” เขาเดินนำหน้านางออกไปก่อน
“นายท่านจะไปไหนหรือขอรับ ให้ข้าไปเตรียมรถม้าให้ไหมขอรับ” อวี้หลางที่ยังเดินวนอยู่ก็หยุดเดินและถาม
“ข้าจะไปส่งนาง” พูดพร้อมปรายตามองเด็กน้อยด้านหลัง
“ขอรับ” อวี้หลับก้มหน้ารับคำ
เมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีเดินผ่านไปแล้วอวี้หลางก็เงยหน้าขึ้นและหันไปยกนิ้วโป้งให้กับซินหยาน บ้านนี้ดูมีชีวิตขึ้นมาทีละน้อยแล้ว
ตลอดทางพอพ้นสายตาผู้เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านบ่าวไพร่ก็ต่างจับกลุ่มซุบซิบกันถึงเรื่องที่นายท่านของจวนเดินไปส่งหลานสาวถึงเรือน
“ฮู่ววว” เมื่อถึงห้องซินหยานก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในที่สุดก็ผ่านพ้นไปได้สักที การรับมือกับท่านปู่นั้นไม่ง่ายเลย แต่การได้เห็นเขายิ้มแม้จะเป็นแค่เสี้ยวเวลาน้อยนิดก็ทำให้ซินหยานมีความสุข และนางยังได้มีโอกาสเตือนเขาเรื่องสุขภาพอีกด้วย
ท่านปู่ของนางป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับการไหลเวียนของโลหิต การปรับอาหารจะมีส่วนช่วยได้เยอะ ถ้าทำตั้งแต่เนิ่นๆก็จะยิ่งดี
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะคุณหนู” ซือเจียถามน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเห่วง
ซือเจียเคยเจอกับนายท่านอยู่ไม่กี่ครั้งแต่ทุกครั้งที่เจอก็รู้สึกได้เลยว่าคนคนนี้น่ากลัวมาก นางไม่กล้าที่จะสบตาเขาด้วยซ้ำ
ซินหยานไม่ได้ตอบอะไรแค่ยิ้มบางๆและทิ้งตัวลงบนเตียงนอนด้วยความเหนื่อยล้า
