บทที่ 1 ไม่ใช่ความฝัน
บทที่ 1 ไม่ใช่ความฝัน
เสียงหัวเราะของเด็กน้อยวัยแปดขวบดังไปตลอดทางจนนางเดินมาถึงห้องของตัวเองถึงได้เงียบไป
“คุณหนูไม่น่าไปทำแบบนั้นเลยนะเจ้าคะ หากโดนฮูหยินทำโทษแล้วบ่าวจะช่วยคุณหนูได้อย่างไรกัน” ซือเจียโอดครวญด้วยความเป็นห่วง
“พวกเราต้องเลิกกลัวนางได้แล้วนะซือเจีย” ซินหยานผ่อนลมหายใจปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติ
ต่อให้นี่จะเป็นเรื่องจริงที่นางได้ย้อนเวลากลับมาหรือเป็นแค่ความฝันแต่ซินหยานก็อยากจะลองเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างสักครั้ง
“โถ่ คุณหนูก็รู้ว่านางเป็นคนใจร้ายแค่ไหน” ซือเจียพูดจากใจจริง น้าสะใภ้ของซินหยานชอบทำโทษทั้งซือเจียและซินหยานอยู่บ่อยครั้ง นายท่านผู้เฒ่าก็มักจะมารู้เรื่องทีหลังจากที่ทุกอย่างจบลงไปแล้ว
“หรือเจ้าอยากจะให้ข้าก้มหัวให้คนแบบนั้นไปตลอดชีวิตเลยหรือไงกัน” ซินหยานย้อนถาม
“ไม่ใช่แบบนั้นเจ้าค่ะคุณหนู”
ซือเจียมองคุณหนูของนางด้วยความประหลาดใจ นางสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณหนูของนางได้อย่างชัดเจน เมื่อวันก่อนคุณหนูยังกลัวฮูหยินจนขดตัวร้องไห้บนเตียงอยู่เลย
“ถ้าไม่ใช่แบบนั้น ต่อไปนี้ก็อย่ายอมก้มหัวให้คนแบบนั้นอีก”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“ดีมาก เจ้าออกไปเอาขนมที่ข้าซื้อมาให้หน่อยสิเมื่อครู่ข้าลืมหยิบมาด้วย”
เดิมทีแล้วตัวนางในตอนห้าขวบก่อนที่จะถูกนำมาทิ้งไว้ที่นี่นั้นมีความดื้อรั้นอยู่เต็มเปี่ยม แต่เมื่อมาเจอกับความร้ายกาจของสตรีใจร้ายผู้นั้นเด็กที่เคยสดใสร่าเริงและดื้อรั้นก็สูญเสียความเป็นเด็กเหล่านั้นไป
นางกลายเป็นเด็กที่กลัวไปทุกอย่าง กลัวว่าจะทำผิดหรือทำให้คนอื่นไม่ถูกใจ แต่เมื่อเริ่มโตขึ้นก้าวเข้าสู่วัยสิบเอ็ดปีนั่นเป็นอีกครั้งที่นางเปลี่ยนไป นางถูกสตรีใจร้ายผู้นั้นขังไว้ในห้องเก็บฟืนมืดๆ ต้องอาศัยฝนที่หยดจากหลังคาที่รั่วเพื่อประทังชีวิต
ภายในความมืดมิดนั้นเสียงวิ่งไปมาของสิ่งมีชีวิตหลากชนิดทำให้นางไม่อาจข่มตาหลับได้ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวอะไรกันแน่ที่กำลังไต่ไปตามร่างกาย
เฉินซินหยานในวัยสิบเอ็ดปีกลับมาเป็นคนดื้อรั้นอีกครั้ง แต่ที่ต่างจากวัยเด็กคือความสดใสร่าเริงไม่หลงเหลืออยู่แม่แต่น้อย
นางกลายเป็นเด็กสาวที่ต่อต้านทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งท่านตาที่เคยเคารพรักสุดหัวใจ นางโทษว่าเป็นเพราะชายชราทิ้งนางไว้เพียงลำพังจนทำให้ต้องเจอกับเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้น กว่าจะรู้ตัวว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นมันไม่สมควรก็สายเกินไป
“นี่คงจะไม่ใช่ความฝันจริงๆหรอกนะ” ซินหยานพึมพำกับตัวเอง
พอได้อยู่คนเดียวก็ได้มีโอกาสทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ร่างกายของนางในตอนนี้นั้นมีอายุแปดขวบ แต่ภายในกลับมีหญิงสาววัยสิบแปด เมื่อสงสัยนางจึงลองหยิกแขนตัวเองดู
“โอ๊ย ! ไม่ใช่ความฝันสินะ” ซินหยานพยักหน้ากับตัวเองสองสามครั้ง
หากใครมาเห็นนางในเวลานี้คงคิดว่านางเสียสติไปแล้วถึงได้ยืนคุยกับตัวเองอยู่นานสองนาน
“ถ้านี่คือเรื่องจริง งั้นในอีกห้าปีข้าก็ถูกส่งกลับไปอยู่เมืองหลวงสินะ” แค่คิดว่าจะต้องกลับไปอยู่จวนนั้นซินหยานก็รู้สึกคลื่นไส้ขนลุกทั่วตัว
จริงอยู่ที่ท่านปู่นั้นมีความยุติธรรมและดีกับนางไม่น้อย แต่คนอื่นๆนั้นไม่เหมือนกัน หากที่นี่มีสตรีใจร้ายอย่างน้าสะใภ้อยู่หนึ่งคน ที่แห่งนั้นก็มีคนใจร้ายอีกเป็นสิบคน
ถึงแม้ก่อนที่นางจะย้อนกลับมาซินหยานจะโหยหาและคิดถึงความทรงจำที่นั่นแต่ถ้าต้องเจอคนพวกนั้นอีกครั้งนางเองก็อยากให้เวลามันหยุดแค่ตอนนี้
“เฮ้อ แต่ก็คิดถึงท่านพ่อกับพี่รองเหมือนกันนะ” ร่างบางทอดถอนใจดวงตาเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง
เฉินซินหยานกำลังครุ่นคิดว่าถ้านางลงมือแก้ไขอดีตแล้วตระกูลเฉินจะล้มไม่เป็นท่าแบบเดิมหรือไม่ ถึงแม้จะทำไม่สำเร็จแต่ก็ควรที่จะลองดูสักครั้ง เพื่อตอบแทนบุญคุณท่านปู่และเพื่อความอยู่รอดในอนาคตของนางเอง
“จริงสิ ! มันมีสิ่งนั้นอยู่นี่นา” ซินหยานทำท่าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ มือน้อยตบลงบนขอบหน้าต่างพลางพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของตัวเอง
บนใบหน้าจิ้มลิ้มมีรอยยิ้มกว้างด้วยความพึงพอใจ ในเมื่อได้ย้อนกลับมาถึงสิบปีนางก็สามารถนำสิ่งที่ล่วงรู้มาก่อนมาทำให้เกิดประโยชน์ได้
ไม่นานสาวใช้คนสนิทของซินหยานก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับรอยแดงจางๆบนใบหน้า
“นางทำร้ายเจ้าหรือ” ซินหยานจ้องรอยแดงนั้นดวงตาแข็งกร้าว มือกำเข้าหากันด้วยแรงโทสะ
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะคุณหนู อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเลยนะเจ้าคะ”
ซือเจียก้มหน้าเพื่อหลบไม่ให้คุณหนูของนางได้เห็นรอยตบแต่มันก็ไม่ได้ทำให้แรงโทสะของซินหยานลดลง
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเราจะต้องเลิกก้มหัวให้คนแบบนั้นได้แล้ว” เด็กน้อยวัยแปดขวบบอกเสียงเย็น
“คุณหนู ถือว่าบ่าวขอเถอะนะเจ้าคะ” ซือเจียวางของในมือลงและคุกเข่าพลางเอื้อมมือไปจับมือของผู้เป็นนายให้นางใจเย็นลง
“เจ้านี่มัน...ช่างเถอะ” ซินหยานสะบัดหน้าหนีอย่างไม่อภิรมย์
“อย่ามัวแต่อารมณ์เสียเลยนะเจ้าคะ มากินขนมที่นายท่านซื้อให้ดีกว่า” ซือเจียปาดน้ำตาพลางทำท่ากระตือรือร้นเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
เมื่อบ่าวคนสนิทพยายามเปลี่ยนเรื่องซินหยานก็ยอมใจอ่อนทำตาม แต่บัญชีแค้นนี้นางจดเอาไว้แล้ว
“เจ้าก็มากินด้วยกันสิ” ซินหยานบอกเสียงใส ใบหน้าที่เคยบึ้งตึงกลับมายิ้มแย้มได้อีกครั้ง
เมื่อจัดอาหารและขนมบนโต๊ะเรียบร้อยก็กวักมือเรียกอีกฝ่าย
“คุณหนูทานเถิดเจ้าค่ะ” ถึงคุณหนูจะแสดงท่าทีใจดีมากแค่ไหนแต่ซือเจียก็เป็นแค่บ่าวนางจะต้องไม่ล่วงเกินผู้เป็นนาย
“นี่คือคำสั่ง” ซินหยานบอกน้ำเสียงจริงจังแต่เสร็จแล้วก็ส่งยิ้มให้ซือเจียอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ” ซือเจียค่อยๆขยับตัวด้วยความเกรงใจ สุดท้ายทั้งคู่ก็นั่งทานอาหารด้วยกัน
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อท่าทีเกรงอกเกรงใจของซือเจียก็ลดลง ทั้งคู่คุยเรื่องสัพเพเหระจนเสียงหัวเราะไม่ขาดสาย
ได้เห็นคุณหนูของนางสามารถยิ้มและหัวเราะได้แบบนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีนัก หากนางสามารถรักษารอยยิ้มนี้ไว้ได้ตลอดไปก็คงดี
เมื่อทานอาหารเสร็จซินหยานก็ย้ายมานั่งที่โต๊ะหนังสือตัวเล็กของนาง เพื่อรวบรวมเรื่องที่คิดว่าจำเป็นและเป็นประโยชน์ที่ยังพอจำได้ ในเวลาใกล้ๆนี้จะมีเหตุการณ์บางอย่างที่นางสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ แต่ก่อนอื่นคงจะต้องเริ่มติดต่อกับท่านปู่ของนางก่อน
“เตรียมหมึกและพู่กันให้ข้าที” ซินหยานหันไปบอกกับซือเจียที่กำลังจัดของในห้องอยู่อีกมุม
“เจ้าค่ะ”
และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่ซือเจียแปลกใจกับพฤติกรรมของผู้เป็นนาย คุณหนูของนางไม่ชอบการเรียนหนังสือเป็นที่สุด หากไม่โดนบังคับก็จะไม่แตะตำราเลย
“ขอบใจนะ”
