บทที่ 1 บทนำ
ปี ค.ศ.1979
"จะไปไหน?"
หยางซินหยุดชะงัก ก่อนจะตอบแม่
"เอายาหลังอาหารไปให้พี่เขย แล้วก็เช็ดตัวให้เขาค่ะ"
"แกจะไปทำให้มันทำไม ก็แค่คนพิการไร้ประโยชน์คนหนึ่ง"
"แม่ก่อนหน้านี้ ก็เป็นแม่ไม่ใช่เหรอ ที่ยกย่องเทิดทูนเขา และเขาก็ยังเป็นเขยแต่งเข้าของสกุลหยาง ตอนนี้แม่กลับทำแบบนี้กับเขาได้ยังไงคะ"
"ก็ตอนนั้นกับตอนนี้มันต่างกัน ผู้ชายในห้องนั้นก็เป็นแค่คนพิการที่ได้เบี้ยเลี้ยงทหารเดือนละไม่กี่หยวน ไม่ใช่พี่เขยคนเดิมของแกแล้ว"
"จะไม่ใช่ได้ยังไง พวกเขาเป็นสามีภรรยากันแล้ว พี่หยางเหมยควรทำหน้าที่เมีย ทำไมแม่ไม่ให้พี่ดูแลพี่เขยบ้าง วัน ๆ เอาแต่แต่งตัวสวยไปงานสังคม ไม่สนใจสามีที่ยังนอนป่วยอยู่บนเตียงสักนิด พี่เขยออกไปรบเพื่อชาติ เขาถึงได้รับบาดเจ็บและโดนปลดประจำการมาอยู่บ้าน ตอนนั้นแม่เป็นคนที่คุยนักคุยหนาว่า เขาเป็นคนมีอนาคตที่สุดในเมืองหนานหนิงนี่แล้ว ถ้าพี่แต่งกับเขาพี่ก็จะได้เป็นคุณนายผู้บัญชาการอย่างแน่นอน ตอนนี้ทำไมแม่เป็นแบบนี้แล้ว"
"แกมันยังเด็ก จะไปเข้าใจอะไร พี่เขยแกน่ะหมดอนาคตแล้ว ก็คงจะเหมือนทหารทั่วไปที่ไปรบมาแล้วพิการ หลังถูกปลดประจำการก็ได้เงินเดือนแค่พอเลี้ยงตัวไปตลอดชีวิต อย่าหวังว่าจะได้เลื่อนยศอะไรอีก และอีกอย่างพี่แกมีผัวพิการมันน่าขายหน้าแค่ไหน แกไม่รู้เหรอ"
"แม่ พูดเสียงดังเกินไปแล้วถ้าพี่จางเฮ่อได้ยิน เขาคงเสียใจแย่"
"ทำไม ฉันจะพูดให้มันรู้กันไป มันจะได้ออกจากบ้านหลังนี้เสียที ต้องมานั่งเลี้ยงคนพิการมันใช่หน้าที่ของฉันเหรอ"
"แม่ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด!"
ในตอนนั้นเสียงสวยของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาทันใด
"ทำไมจะไม่ได้ ฉันไม่เอาคนพิการมาเป็นพ่อพันธุ์ของลูกฉันเด็ดขาด"
หยางซินหันไปมองตามเสียง พี่สาวของเธอหยางเหมยที่แต่งหน้าแต่งตัวสวยฉ่ำ กำลังจะออกไปงานเต้นรำนายทหารใหญ่ หลังจากที่สงครามได้ยุติลงอย่างเป็นทางการ โดยมีนายทหารหนุ่มอนาคตไกลที่เป็นเพื่อนของพี่เขยที่มีชื่อว่าหลินเว่ยมารับนั่นเอง
หยางซินเห็นพี่สาวของตัวเองกำลังควงกับเพื่อนของพี่เขย ก็คิดในใจ
หึ เมียตัวเองไปแต่งกับเพื่อนสนิท ใครบ้างจะไม่แค้น จางเฮ่อถึงได้เอาคืนหนักขนาดนั้น
หยางเหมยมองน้องสาวแล้วพูดต่อ
"ทำไมต้องดูแลพี่เขยแกขนาดนี้ จะทำไปทำไม เดี๋ยวฉันก็หย่าแล้ว เขาก็ไม่ใช่พี่เขยของแกแล้ว"
หยางซินส่ายหน้า
"ฉันไม่เหมือนพี่ ที่ไร้มโนธรรม ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน ไม่ต้องมาสั่งฉันอีก"
"หน็อย แกจะมากไปแล้วนะ เดี๋ยวนี้คิดเถียงฉันเหรอ"
"พี่ได้ยินยังไงก็แบบนั้นแหละ"
หยางซินเดินสะบัดก้นหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ทั้งแม่และพี่สาวถึงกับหันมามองหน้ากัน หยางเหมยกำมือแน่นและกัดฟัน เธอจ้องมารดาเขม็งเอ่ยเสียงเย็น
"แม่ นังหยางซินมันกล้าขึ้นเสียงกับฉัน แม่ต้องจัดการมันให้ฉัน"
คุณนายหยางยิ้มเอาใจลูกสาวคนโต ก่อนจะพูดว่า
"แม่จะสั่งสอนหยางซินเอง ไม่ต้องโกรธนะ เดี๋ยวจะไม่สวย จะไปงานไม่ใช่เหรอ แม่ได้ยินเสียงรถมาแล้ว รีบไปเถอะเดี๋ยวสาย"
จากนั้นก็กุลีกุจอพาหยางเหมยออกไปที่หน้าบ้านอย่างรวดเร็ว
ด้านหยางซินเธอเดินเข้ามาในห้องนอนของวางยาพร้อมกับมองชามข้าวต้มที่ตอนนี้ว่างเปล่าไปแล้ว
"โห กินข้าวหมดเลยเหรอคะ เก่งแล้วนี่"
เสียงแหบเครือดังขึ้นเบา ๆ
"ก็แค่กินข้าว มีอะไรต้องชม"
เขายังคงเสียงดุกับเธอเหมือนเดิม แน่นอนว่าเพราะไม่รู้ว่าเธอจะมาไม้ไหนกันแน่จึงได้ตั้งแง่กับเธอแบบนี้
"ทำดีก็ต้องชมนี่คะ ปกติพี่กินข้าวนิดเดียวสองสามวันมานี้กินเก่งจริง ๆ"
จางเฮ่อยิ้มเย็นออกมา นี่นับว่าเป็นรอยยิ้มแรกตั้งแต่เขาล้มป่วยที่เธอได้เห็น เขาคงอยากถามว่าทำไมถึงได้ดีกับเขานัก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าพี่สาวของเธอจะบอกให้ทำอะไรเธอก็มักจะทำตาม กระทั่งร่วมมือกลั่นแกล้งไม่ให้ข้าวให้น้ำเขามาแล้ว
คนสกุลหยางต้องการให้ภรรยาเขาหย่าขาด และขับไล่เขาออกจากบ้านหลังนี้ที่เขาใช้เงินทั้งหมดในการสร้างเพื่อเอาใจหยางเหมย และยังให้บ้านเป็นชื่อหยางเหมยเพื่อเป็นของขวัญ แต่วันนี้เขากลับกำลังจะถูกไล่ออกจากบ้านของตัวเอง
หากใครรู้เข้า ก็คงพูดได้เพียงคำเดียวว่าเขาคนนี้ โง่เง่ายิ่งกว่าลา
จางเฮ่อมองน้องสาวภรรยาของตัวเองด้วยสายตาสงสัย หลายวันมานี้ยอมรับว่าเพราะได้หยางซินคอยดูแล และให้กินข้าวกินยาไม่ขาดทำให้อาการป่วยของเขาเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ถึงหมอจะบอกว่าเขาอาจจะเดินไม่ได้อีกแต่คนอย่างจางเฮ่อไม่มีทางยอมแพ้ ต่อให้สวรรค์ส่งเขาลงนรก เขาก็จะตะกายกลับมาจากนรกด้วยตัวเอง และตอนนี้เขาก็รู้ว่าเรี่ยวแรงของเขากำลังฟื้นคืนมาแล้ว
เด็กสาวคนนี้กำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ และดูเหมือนว่าเธอที่เคยอ่อนแอ เป็นเบี้ยล่างของพี่สาวมาตลอดอยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมาเถียงคนอื่นและรู้จักโต้ตอบ ทั้งยังปฏิบัติกับเขาแตกต่างไปจากปกติ ดูเหมือนเธอเอาใจใส่เขาด้วยใจจริง และจากสายตาคู่นั้นเขาก็มองเห็นบางสิ่งบางอย่าง
ความรักที่เธอเหมือนจะซ่อนอยู่ในใจ และหลายครั้งที่ลอบมองเขาอย่างเปิดเผย แต่เขากลับคิดว่าสายตาคู่นี้กลับมองเขาแปลก ๆ เหมือนหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
หยางซินกำลังกลัวอะไรกันแน่
