บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 7 ไม่ใช่ใข่มุกธรรมดา

กัวหยุนเห็นว่าลูกสาวไม่อยากอยู่ตรงนั้นนาน นางจึงไม่รั้งรีบพาเดินตรงไปยังร้านผ้าตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อไปถึงก็เลือกผ้าสีแดงสดผืนใหญ่ขึ้นมา สีสันนั้นช่างขับผิวของบุตรสาวให้งามยิ่งนัก นางไม่ลังเลที่จะควักเงินเก็บจ่ายทันที

หลิวซินมองมารดาที่กำลังยิ้มชื่นชมผ้าสีแดง รู้สึกอบอุ่นใจ แต่ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “ท่านแม่… ผ้าผืนนี้ช่างใหญ่ยิ่งนัก ท่านซื้อเกินไปหรือไม่” เพราะด้วยขนาดนี้ นอกจากจะทำชุด ยังพอเย็บผ้าห่มหรือผ้าม่านได้อีกหลายผืนเลยทีเดียว

กัวหยุนหัวเราะเบา ๆ พลางลูบผืนผ้าในมือ “ไม่ใหญ่ไปหรอก แม่จะตัดชุดให้เจ้า ทำผ้าห่ม หมอน และยังทำผ้าม่านสีเดียวกันอีกด้วย ลูกสาวเพียงคนเดียวของแม่จะแต่งงานทั้งที ย่อมต้องจัดให้สมเกียรติ อย่าให้ผู้ใดมาดูถูกได้”

น้ำเสียงอบอุ่นแฝงความหวังลึก ๆ ว่าอีกไม่นานบ้านหลังนี้คงจะไม่เงียบเหงา หากมีเสียงหัวเราะและเสียงก้าวเดินเล็ก ๆ ของหลาน ๆ

เมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น ใบหน้าของหลิวซินก็แดงซ่าน ความหมายที่มารดาสื่อออกมา นางเข้าใจดีจนอยากแทรกแผ่นดินหนี

กัวหยุนเห็นท่าทีเขินอายของลูกสาวก็พลอยยิ้มเอ็นดู หลังจากเลือกผ้าที่ต้องการเสร็จ ทั้งสองก็แวะไปยังร้านขายหมูต่อ

หลิวซินกวาดตามอง เห็นชิ้นส่วนดี ๆ ถูกเลือกไปแทบหมด เหลือเพียงใส้กับกระดูกกองอยู่ นางกลับจ้องสิ่งเหล่านั้นด้วยแววตาเป็นประกาย “ของพวกนี้… ท่านขายเท่าใดหรือ” นางถามด้วยความกระตือรือร้น

เจ้าของร้านยิ้มประจบ เมื่อเห็นว่ายังมีคนสนใจ “ไม่แพงหรอก ใกล้ค่ำแล้วด้วย เอาไปเสียเถิด ห้าสิบอีแปะเท่านั้น ถ้าเก็บไว้ต่อก็คงเน่าเปล่า ๆ”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอซื้อทั้งหมด” หลิวซินเอ่ยทันควัน ของดีเช่นนี้นางไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือ ความคิดถึงรสชาติอาหารในโลกเดิมเอ่อล้นขึ้นมาในใจ

กัวหยุนยืนตะลึง มองสิ่งที่ลูกสาวเลือกซื้อด้วยความไม่เข้าใจ “เหตุใดเจ้าจึงซื้อของไร้ค่าเหล่านี้ ใส้ก็เหม็น กระดูกก็แทบไม่มีเนื้อ ไม่รู้หรือว่าไม่มีผู้ใดจะกิน”

หลิวซินยิ้มบาง “เชื่อข้าเถิด ท่านแม่ ของสองอย่างนี้ข้าทำให้อร่อยจนท่านวางช้อนไม่ลงแน่” น้ำเสียงหนักแน่นราวกับมั่นใจเต็มเปี่ยม

กัวหยุนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอาเถิด ตามใจเจ้าเถอะ” ตั้งแต่ลูกสาวตกน้ำคราวนั้น หลายสิ่งในตัวนางก็เปลี่ยนไปจนเกินคาดเดา

“ในเมื่อซื้อของครบแล้ว เช่นนั้นกลับไปรอตงจวินกันเถิด” นางกล่าวพลางจูงมือลูกสาวไปยังจุดนัดหมาย ที่นั่นตงจวินยืนรออยู่ก่อนแล้ว

“เจ้ามารอนานหรือไม่” กัวหยุนถามด้วยน้ำเสียงเกรงใจ เพราะมัวเพลินเลือกของจนล่าช้า

“ไม่นานหรอกขอรับ” ตงจวินยิ้มบาง ก่อนก้มมองตะกร้าที่กัวหยุนถือ เห็นชายผ้าสีแดงสดโผล่ออกมาอย่างเด่นชัด

เขารีบช่วยรับของไปวางบนเกวียนวัว และเชิญทั้งสองขึ้นนั่ง ก่อนตบเชือกบังคับวัวให้เดินออกจากเมือง ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มยามอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า

เมื่อกลับถึงบ้านก็มืดค่ำพอดี หลังจากช่วยยกของลง ตงจวินทำท่าจะหันหลังกลับ แต่เสียงหวานใสเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง

“นี่… ค่ารถเกวียนของท่าน” หลิวซินยื่นเงินให้ด้วยความเกรงใจ

ตงจวินก้มมองเงินในมือ ก่อนเลื่อนสายตามองใบหน้าของหญิงสาวท่ามกลางแสงไฟอ่อน ๆ จากคบเพลิงที่ส่องสะท้อน ดวงหน้านั้นงดงามอย่างประหลาด ยิ่งเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับริมฝีปากแดงระเรื่อราวผลเชอรี่ หัวใจเขาก็พลันสั่นไหว

“เก็บเงินเอาไว้เถิด ข้าเพียงแค่รับคนนั่งเพิ่ม หาใช่เรื่องใหญ่อันใด” เขาตอบเสียงทุ้มต่ำ แววตาเต็มไปด้วยความหมายที่ยากจะตีความ

เมื่อสบกับแววตาแรงกล้าของเขา แก้มของหลิวซินก็ร้อนผ่าว นางค่อย ๆ ลดมือลงพร้อมกับเก็บเงินกลับมา “ถ้าเช่นนั้น… ข้าจะทำอาหารให้ท่านกินแทนก็แล้วกัน” นางคิดจะใช้ฝีมือครัวตอบแทนไมตรีในครั้งนี้

“เช่นนั้นข้าจะรอชิมอาหารของเจ้า” เขาละสายตาจากริมฝีปากอวบอิ่มของนางด้วยความเสียดาย ก่อนจะกระโดดขึ้นเกวียนแล้วบังคับวัวให้เคลื่อนออกไป

หลิวซินเดินเข้าบ้านด้วยอาการเหม่อลอยเล็กน้อย จนได้ยินเสียงของมารดาดังขึ้นจากด้านหลัง

“เป็นเช่นไรบ้าง เขารับเงินหรือไม่” กัวหยุนถามอย่างใคร่รู้

“เขาไม่รับ ข้าเลยคิดว่าจะทำอาหารให้แทน” หลิวซินเล่าออกมาตามตรง ยกเว้นเพียงเรื่องสายตาคมคู่นั้นที่กวาดสำรวจนางอยู่เนิ่นนาน

กัวหยุนยิ้มบาง “เช่นนั้นก็ทำให้มากหน่อย พรุ่งนี้เอาไปฝากเขา” เมื่อได้คำตอบ นางก็หันไปเก็บข้าวของและเริ่มลงมือทำอาหารทันที

หลังจากรับประทานมื้อค่ำ อาบน้ำชำระร่างกายที่เหนื่อยล้าทั้งวัน เสียงกรนเบา ๆ ของมารดาก็ดังลอดมาจากห้องข้าง ๆ หลิวซินยิ้มบาง มารดาคงเหนื่อยกับเรื่องของนางมาทั้งวันแล้ว

นางเอนตัวลงนอน มองเพดานไม้เหนือศีรษะ พลางยกมือแตะมุกสีแดงที่ห้อยอยู่บนอก สร้อยเส้นนี้นางนำเชือกมาร้อยไว้คล้องคอแล้ว ความแปลกประหลาดก็คือ เมื่อมองใกล้ ๆ จะเห็นลวดลายอักษรบางอย่างสลักอยู่เลือนราง หรือว่ามันมิใช่มุกธรรมดา? ยิ่งเมื่อนึกถึงเรื่องที่นางสามารถหายใจใต้น้ำได้ หัวใจยิ่งเต้นแรง

นางพึมพำเบา ๆ “เจ้ามุก… เจ้าเป็นของวิเศษใช่หรือไม่”

ความเหนื่อยล้าทำให้เปลือกตาค่อย ๆ ปิดลง และในยามหลับใหลนั้นเอง มุกสีแดงก็แผ่วแสงออกมาจาง ๆ สายละอองขาวห่อคลุมร่างของนาง ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป มุกเม็ดนั้นหายสาบสูญจากสายตาทุกคน เหลือเพียงเจ้าของเท่านั้นที่ยังสามารถมองเห็น

รุ่งเช้า หลิวซินลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกสดชื่นแปลกประหลาด แสงอรุณลอดผ่านช่องหน้าต่างกระทบผิวพรรณของนาง ร่างกายดูนวลเนียน เงางามราวกับมีประกายระยิบระยับ นางลองยกแขนขึ้นสำรวจพลางคิด ‘หรือว่าเพราะข้าพักผ่อนเต็มที่ ผิวพรรณจึงดีขึ้นกระมัง’ จึงไม่ได้สนใจต่อ

เมื่อออกมาล้างหน้าและนั่งลงรับประทานอาหาร สายตาของกัวหยุนที่จับจ้องไม่วางตาก็ทำให้นางแปลกใจ หลิวซินเอามือโบกบังสายตา “ท่านแม่… มองข้าเช่นนั้นทำไมกัน?”

“แม่ก็ไม่รู้สิ รู้สึกเหมือนเจ้ามีแสงออกมาจากร่าง แถมงดงามกว่าก่อนเสียอีก” กัวหยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังปนประหลาดใจ

หลิวซินหัวเราะคิก “ไม่ใช่ว่าข้างามอยู่แล้วหรอกหรือ” นางเอามือแตะไล้แก้มตนเองเล่น ๆ

กัวหยุนส่ายหน้า ยิ้มเอ็นดู “เจ้างามที่สุดอยู่แล้ว แม่คงคิดไปเอง กินข้าวเถอะ”

แต่ไม่นาน สายตาของมารดาก็เหลือบไปเห็นความผิดสังเกตตรงลำคอที่ว่างเปล่า จึงถามขึ้น “แล้วสร้อยไข่มุกแดงของเจ้าล่ะ? เจ้าเอาไปขายเสียแล้วหรือ?”

คำถามนั้นทำให้หลิวซินชะงักทันที นางก้มลงมอง ก็ยังเห็นมุกห้อยอยู่ชัดเจน มือจึงยกขึ้นแตะเบา ๆ “ข้าใส่อยู่จริง ๆ เจ้าค่ะ”

กัวหยุนขมวดคิ้ว “เจ้าล้อแม่หรือไร? แม่มองอย่างไรก็ไม่เห็น”

“ลองดูใหม่เถิดท่านแม่” หลิวซินโน้มตัวเข้าใกล้มากขึ้นจนแทบชนใบหน้า

กัวหยุนผลักหน้าลูกสาวออกไปเบา ๆ “พอเถอะ จะชนแม่อยู่แล้ว แม่บอกว่าไม่เห็นก็คือไม่เห็น อย่ามาโกหก”

หัวใจหลิวซินไหววูบ สร้อยยังคงห้อยอยู่กับคอของนางแท้ ๆ แต่เหตุใดมารดาจึงไม่เห็น? หรือว่ามีสิ่งลึกลับบางอย่างซ่อนอยู่ในมุกเม็ดนี้…

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel