บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5 ของดีที่ได้มาง่าย ๆ

“นี่มันอะไร…เม็ดสีแดงสดเช่นนี้ แม่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” กัวหยุนหยิบลูกกลม ๆ ขึ้นมาส่องแสงดูอย่างประหลาดใจ

หลิวซินเพียงเหลือบตามองก็จำได้ทันที ถ้าไม่ผิด นั่นคือ ไข่มุกสีแดง นางรีบหยิบไข่มุกเล็ก ๆ ในถุงออกมา ส่องใกล้ตา ยิ่งมองยิ่งเสียดาย มันมีเพียงเม็ดเดียว และยังขนาดเล็กเกินไป

“ข้าว่ามันคือไข่มุก…ข้าจะเก็บเอาไว้เองดีกว่า มันงดงามเกินกว่าจะขายทิ้ง” หลิวซินยกขึ้นทาบที่ลำคอ หากนำมาทำเป็นสร้อย คงดูดีไม่น้อย

กัวหยุนพยักหน้าเบา ๆ “หากเจ้าชอบก็เก็บไว้เถิด ถึงอย่างไรก็มีเพียงเม็ดเดียว จะนำไปขายก็ไม่คุ้มค่า”

หลิวซินมองไปยังหอยเป๋าฮื้อที่วางกองอยู่ นางกลืนไม่ลง “แล้วหอยพวกนี้ แม่ว่าเราควรนำไปขายหรือไม่”

“ก็ดีเหมือนกัน แต่ตัวเล็ก ๆ เจ้าลองทำอาหารชิมดูก่อนเถิด หากเราคิดจะขาย จะได้รู้จักรสชาติ จะได้บอกผู้อื่นได้ว่าอร่อยจริงหรือไม่” กัวหยุนมองหอยหลายตัวที่ลูกสาวเก็บมา

แม้จะเสียดายเล็กน้อย แต่ของพวกนี้มิใช่สิ่งที่หาไม่ได้ นางยอมลองตามคำลูกสาว แล้วเอ่ยถามต่อเมื่อเห็นถุงผ้ายังพองอยู่ “ในถุงนั้นยังมีอะไรอีกหรือ”

หลิวซินเปิดออกดู ก็พบทั้งปูและกุ้ง กัวหยุนสีหน้าหนักใจทันที “เจ้าจะเก็บพวกนี้มาทำไมกัน คนที่นี่ไม่กิน แถมไม่มีใครกล้ารับซื้อ เพราะเคยมีคนกินแล้วถึงตาย”

“ใครบอกว่าข้าจะขาย ข้าอยากทำให้ท่านแม่ชิมต่างหาก” หลิวซินตอบพลางหิ้วถุงเดินเข้าครัว โชคดีที่มารดาซื้อข้าวติดบ้านไว้ นางจึงนำกุ้งและปูไปต้มจนสุก แกะเอาแต่เนื้อเก็บไว้ แล้วหันมาผัดข้าวในกระทะใส่น้ำมันน้อยนิด โรยเกลือเล็กน้อย คลุกเคล้ากับเนื้อกุ้งปูจนข้าวมีสีเหลืองทอง กลิ่นหอมอบอวลลอยออกมาถึงด้านนอก

“เจ้าทำอะไร…กลิ่นหอมเช่นนี้ได้อย่างไร” กัวหยุนรีบเดินเข้ามาอย่างสงสัย นางรู้ดีว่าลูกสาวไม่เคยจับกระทะสักครั้ง แต่คราวนี้กลับทำได้คล่องแคล่วราวกับเคยฝึกมานาน

“ว่าแต่…เจ้าเคยทำอาหารเป็นด้วยหรือ

หลิวซินรีบยิ้มแก้เก้อ “ข้าเคยเห็นคนอื่นทำ เลยลองทำตามดู”

กัวหยุนมองลูกสาวนิ่ง ๆ ยิ้มบาง “เพียงแค่เห็นคนทำ เจ้าก็ทำออกมาได้…ช่างเก่งเกินไปแล้ว” แม้รู้ว่าลูกสาวปิดบังบางอย่าง แต่นางก็ไม่ได้ซักต่อ เพราะไม่ว่าอย่างไร วันหนึ่งลูกก็ต้องออกเรือนไปอยู่กับสามีอยู่แล้ว

เมื่อผัดเสร็จเรียบร้อย หลิวซินตักใส่จานแล้วตะโกนเรียก “ท่านแม่ ข้าทำเสร็จแล้ว มาลองชิมดูสิ”

กัวหยุนมองข้าวผัดที่วางอยู่ตรงหน้า สีเหลืองอ่อนของข้าวผัดปูกับกุ้งดูน่ารับประทาน นางตักขึ้นมาชิมคำแรกก็ถึงกับตาโต กลิ่นหอมอบอวล รสชาติกลมกล่อมเกินคาด “อร่อยมาก…อร่อยยิ่งนัก” คำชมเปล่งออกมาโดยไม่ต้องเสแสร้ง

“อร่อยก็ทานให้เยอะ ๆ นะเจ้าคะ” หลิวซินยิ้มกว้าง พลางตักข้าวของตนเองบ้าง เพียงแต่ในใจยังเสียดาย วัตถุดิบที่นี่มีน้อยเกินไป

กัวหยุนหัวเราะเบา ๆ “ถ้ารู้ว่าลูกทำอาหารอร่อยเพียงนี้ แม่คงเลิกทำเองไปนานแล้ว”

หลิวซินเดินเข้ามากอดเอวผู้เป็นแม่ “ฝีมือข้ายังห่างไกลจากท่านแม่อีกมาก” ความจริงแล้ว นางเพียงมีความรู้ติดตัวมาจากโลกก่อนเท่านั้น

“ปากหวานเสียจริง…” กัวหยุนยิ้มเอ็นดู ก่อนนึกขึ้นได้ “อ้อ แม่ลืมบอกเจ้าไป แม่ได้พูดเรื่องเจ้าตกลงแต่งกับตงจวินแล้ว เขาก็ตอบรับ เหลือเพียงหาวันมงคลเท่านั้น”

“เช่นนั้นหรือ” หลิวซินตอบเสียงเรียบ ไม่ได้แสดงความตกใจนัก เพราะรู้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มจะต้องยินยอมแน่

“เจ้าไม่ดีใจหรืออย่างไร” กัวหยุนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

“ท่านแม่…จะให้ข้าดีใจเรื่องใดกันเล่า ระหว่างข้ากับเขา…มันเป็นเพียงความผิดพลาดเท่านั้น” หลิวซินก้มหน้า น้ำเสียงแผ่วเบา นางมั่นใจว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ได้มีใจให้ตนเช่นกัน

“หากลูกลำบากใจ แม่จะบอกเลิกเรื่องแต่งก็ยังทัน” แม้กัวหยุนจะเผลอป่าวประกาศไปแล้ว แต่นางก็ยังห่วงความรู้สึกลูกยิ่งกว่าเกียรติคำพูด

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้ายินยอมเอง ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจัดการได้” หลิวซินตอบด้วยแววตาหนักแน่น แม้ในใจแอบสั่นไหว

กัวหยุนถอนหายใจเบา ๆ “เช่นนั้นก็แล้วแต่ลูกเถอะ มากินข้าวก่อน”

ทั้งสองนั่งกินไปพลางสนทนาไปพลาง บรรยากาศอบอุ่นเงียบสงบ จนเมื่ออิ่มแล้ว จึงรีบพากันเตรียมออกเมืองเพื่อนำหอยเป๋าฮื้อไปขาย

“ถ้าเข้าเมืองตอนนี้ จะยังมีรถเกวียนให้โดยสารหรือไม่” หลิวซินหันไปถามมารดา

“ย่อมมีอยู่แล้ว อีกอย่าง แม่จะถือโอกาสซื้อผ้ามาตัดชุดเจ้าสำหรับวันแต่งงานด้วย” ดวงตากัวหยุนทอประกายอ่อนโยน ในใจปรารถนาเพียงให้ลูกสาวได้แต่งงามดั่งเจ้าสาวควรจะเป็น

หลิวซินหัวเราะเบา ๆ “เขาคงไม่ได้เร่งรีบมาขอข้าแต่งงานหรอกเจ้าค่ะ ชีวิตเขายุ่งนัก บางทีอาจลืมเรื่องนี้ไปแล้วก็ได้”

“ไม่หรอก แม่มั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนลืมง่าย เจ้าอย่ากังวลไปเลย” มารดาปลอบโยนด้วยน้ำเสียงมั่นคง

หลิวซินแสร้งทำเสียงน้อยใจ “แค่ยังไม่ได้แต่ง ท่านก็เข้าข้างเขาเสียแล้ว หากข้าแต่งไปจริง ๆ ท่านแม่คงลืมข้าแน่แท้”

กัวหยุนหัวเราะพลางเคาะศีรษะลูกเบา ๆ “คิดอะไรเหลวไหล สมองเจ้าไม่เคยหยุดเพ้อเจ้อเลยจริง ๆ”

เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังเคล้าสายลม หลิวซินเองก็ยิ้มอ่อน นางรู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดมาทำให้มารดาหันหลังให้ตนได้

หลังจัดของเรียบร้อย ทั้งสองพากันไปยังจุดขึ้นเกวียนวัว ทว่ากลับพบว่าเกวียนออกไปก่อนแล้ว

“เอาอย่างไรดี ไม่มีเกวียนเข้าเมืองเสียแล้ว” หลิวซินมองมารดาอย่างกังวล

กัวหยุนยักไหล่อย่างไม่เดือดร้อน “ไม่มีเกวียนก็เดินไปสิ แม่เองก็เคยเดินหลายครั้ง เมืองหลิงหนางไม่ได้ไกลนัก”

“ก็ได้เจ้าค่ะ” หลิวซินรับคำ แม้ไม่ค่อยชินกับการเดินทางไกล แต่ก็ยอมตาม

กัวหยุนมองท่าทางอ่อนแรงของลูกด้วยสายตาเอ็นดู นางเลี้ยงลูกสาวมาอย่างถนุถนอม ไม่ค่อยให้เหนื่อยลำบากนัก “ทนหน่อยเถอะ ถึงเมืองแล้วแม่จะซื้อผ้าให้นำมาตัดเป็นชุดงาม ๆ ดีหรือไม่”

“ท่านแม่ใจดีที่สุด” หลิวซินยิ้มหวานพลางคล้องแขนมารดา เดินเคียงข้างไป

ขณะที่ทั้งสองกำลังเดิน เสียงกีบวัวลากเกวียนดังมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็เห็นตงจวินกำลังบังคับเกวียนตรงเข้ามา ความจริงแล้วนางลืมไปเสียสนิทว่าบ้านเขาก็มีเกวียนเช่นกัน

ชายหนุ่มชะลอเกวียน มองสองสตรีตรงหน้า “พวกท่านจะเข้าเมืองกันหรือ”

กัวหยุนยิ้มออกทันที “อ้าว ตงจวินนี่เอง ข้ากับลูกสาวจะเอาของไปขาย เจ้าเข้าเมืองเหมือนกันใช่หรือไม่ ให้เราสองคนติดไปด้วยได้หรือไม่” เสียงนางฟังดูอ้อนเอ็นดู แฝงเจตนาจะสานสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดขึ้น

หลิวซินเหลือบมองมารดา พลางส่ายหน้าอย่างจนใจในความคิดของท่าน

ตงจวินเหลือบตามองหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนเอ่ยสั้น ๆ “เชิญขึ้นมาเถิด”

“ได้ ๆ” กัวหยุนตอบรับทันใด รีบก้าวขึ้นเกวียน โดยมีลูกสาวคอยช่วยประคอง

แต่พอถึงคราหลิวซินกำลังจะขึ้น มือใหญ่กลับยื่นมาตรงหน้า นางเงยหน้ามอง เห็นเป็นตงจวินจึงยื่นมือไปจับ แต่จังหวะไม่ดีนัก ร่างน้อยเสียหลักพลัดตกเข้าซบอกเขา

กัวหยุนที่เห็นเหตุการณ์ยิ้มกรุ้มกริ่ม รีบเบือนหน้าหันไปทางอื่น ทำเป็นไม่เห็นอะไร ปล่อยให้หนุ่มสาวจัดการกันเอง

หลิวซินรีบผละออกจากอ้อมแขนเขา “ขะ…ขอโทษ” นางก้มหน้า หลบสายตาพร้อมแก้มแดงเรื่อ

ตงจวินยังรู้สึกถึงความอบอุ่นนุ่มนวลในอ้อมแขน เมื่อหญิงสาวขยับตัวออก เขากลับแอบรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ดวงตาคมเหลือบมองเห็นสีเลือดฝาดบนแก้มขาวนวลของนาง จึงอดยิ้มในใจไม่ได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel