บทที่5 ประหนึ่งสายลม
ปกติแล้วฉีอิงไม่เคยทำเช่นนี้ ทว่าค่ำคืนนี้ภรรยากลับหาได้ใส่ใจเขาไม่ และมิใช่แค่เพียงค่ำคืนนี้ ทว่านับตั้งแต่นางหายจากอาการป่วยเลยทีเดียว
ค่ำคืนของงานเลี้ยงได้จบลง เมื่อรถม้าจอดยังหน้าจวน ชายหนุ่มยังคงดุแลภรรยาอย่างดีเช่นเดิม ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินไปส่งนางยังเรือน
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่ ที่อุตส่าห์เดินมาส่งข้าถึงเรือน”
“อืม!”
แม่ทัพหนุ่มทำเพียงเสียงในลำคอ ก่อนจะเผลอถลึงตาตามหลังร่างงามไป เมื่อเขาคิดว่านางจะกล่าวสิ่งใดเพิ่ม ทว่าร่างบางของภรรยา กลับหมุนกายเข้าเรือนไป โดยไม่แม้แต่จะมองเขาเลยด้วยซ้ำไป
สิ่งที่ฉีอิงแสดงออกต่อสามี โดยการเมินเฉยนั้น มิได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว มิว่าจะงานเลี้ยงใด ที่ต้องไปร่วมกัน ฉีอิงหาได้ใส่ใจสามี นางสนุกสนานกับงาน ทั้งยังเว้นระยะห่างกับสามีอย่างเห็นได้ชัด
หากเป็นแต่ก่อน ในทุกงานเลี้ยง ภรรยาของเขาจะเป็นผู้ที่คอยใส่ใจ ดูแลถามไถ่จนเขารู้สึกรำคาญ แต่ทว่าในปัจจุบัน กลับเป็นเขาที่พยายามเข้าหานาง แต่ไร้ซึ่งการตอบรับจากหลี่ฉีอิง
เวลาผ่านไปเร็วประหนึ่งสายลมพัดผ่าน ในวันที่นางตื่นคือหน้าร้อนอันอบอ้าว ทว่าตอนนี้กลับเป็นหน้าหนาว ที่หิมะเริ่มโปรยปราย จะขวบปีแล้วหรือนี่กับชีวิตใหม่ของนาง
สำหรับนางแล้วนอกจากอาหารชั้นเลิศ ก็คงหนีไม่พ้นการรับมือกับสตรี ที่วนเวียนเข้าหาสามี ที่นางไม่ใคร่จะใส่ใจ ยิ่งช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี่ แม่ทัพหนุ่มได้แวะเวียนมาหานาง จนเรียกได้ว่าทุกวันเลยทีเดียว และเป็นเรื่องที่ฉีอิงปวดหัวยิ่งนัก
เมื่อเสี่ยวเตี๋ยพยายามจะทอดสะพานให้สามี สำหรับนางแล้วนั้นมันมิใช่เรื่องแปลก แต่ที่น่าเบื่อหน่ายคือ สาวใช้มีอาการแข็งกระด้างในบางขณะ หากเกิดเสี่ยวเตี๋ยปีนขึ้นเตียงสำเร็จ จนกลายเป็นอนุย่อมไม่ใช่เรื่องดี เพราะนั้นคืออันตรายครั้งที่สองของร่างนี้เป็นแน่
การที่นางไม่อยากให้มีหญิงอื่นเพิ่มเติม เพราะไม่อยากที่จะมานั่งดื่มกิน พร้อมความหวาดระแวง ว่าจะถูกวางยาพิษ เหมือนภรรยาบ้านอื่น
ชีวิตของฉีอิงเรียบง่ายมาตลอด ในความรู้สึกของนางเอง ส่วนในสายตาผู้อื่นนางไม่รับรู้
“ฮูหยิน ท่านแม่ทัพให้มาเรียนฮูหยิน ว่าคืนนี้ให้ฮูหยินเตรียมตัวร่วมมื้อค่ำ ยังห้องอาหารเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเจี้ยน ที่ได้รับการถ่ายทอดคำสั่ง ของแม่ทัพหนุ่มมาจากหัวหน้าพ่อบ้าน เพื่อมาแจ้งแก่นาง
“ไยวันนี้ ต้องไปที่นั้นด้วยเล่า”
ฉีอิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะวันใดที่สามีของไม่ติดงานยามค่ำคืน เขาจะมาร่วมมื้อเย็นกับนางที่เรือนนี้ ยิ่งเมื่อคิดถึงการเอาใจใส่ของสามี ฉีอิงก็อดที่จะขำขันมิได้
บุรุษที่วางตนเป็นใหญ่ เมื่อถูกมองข้าม แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ย่อมมิอาจยินยอมได้ แล้วนี่นางมองข้ามเขามันเสียทุกเรื่อง มาเกือบแรมปี จึงกลายเป็นเขาเอง ที่วิ่งเข้าหานาง โดยที่นางมิต้องลงแรงไปเสียให้ยาก
“นายท่านให้เรียนว่า คุณชายสาม จะมาร่วมมื้อค่ำด้วยเจ้าค่ะ”
“อ่อ...ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นเสี่ยวเตี๋ย มาช่วยข้าแต่งตัวเถอะ ข้าจะได้ออกไปดูความเรียบร้อย”
ฉีอิง เลือกที่จะเรียกเสี่ยวเตี๋ย ให้มาช่วยนาง เพราะนี่คือการบอกเสี่ยวเตี๋ยเป็นนัย ๆ ว่านางมิคิดที่จะให้เสี่ยวเตี๋ย ติดตามไปยังเรือนรับรอง
“เจ้าค่ะ”
เสี่ยวรับคำอย่างมิเต็มใจนัก มีหรือที่นางจะไม่รู้ว่ากำลังถูกกลั่นแกล้งจากผู้เป็นนาย ทว่าด้วยฐานะสาวใช้ นางมิอาจที่จะแข็งขืนได้ จำต้องยินยอมทำตามอย่างว่าง่าย เพื่อรอเวลาที่จะเป็นของนาง
‘เมื่อท่านขัดขวางข้าอยู่เช่นนี้ เห็นทีข้าคงมิอาจปล่อยท่าน ให้เสวยสุขเช่นนี้อีกต่อไปได้’ เสี่ยวเตี๋ย ยังหาโอกาสที่จะทำเช่นในอดีตได้ ด้วยเพราะหลายเดือนมานี่ ท่านแม่ทัพมาร่วมมื้ออาหาร กับนายของตนแทบทุกวัน จึงยากที่จะลงมือเช่นแต่ก่อน
ทางด้านจ้านซือถงนั้น ยังคงนั่งดูการฝึกทหารอย่างตั้งใจ แต่ทว่าภายในหัวของเขาตอนนี้ มีเพียงเรื่องของภรรยาฉายวนไปมา นับตั้งแต่นางหายป่วย ความเฉยชาที่เขาเคยมีต่อนาง
บัดนี้กลับกลายเป็นนาง ที่มองข้ามเขาอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าเขาจะใส่ใจนางหรือไม่ ดูเหมือนนางจะไม่เดือดร้อนเช่นแต่ก่อน เขาจำได้ดีว่าหลี่ฉีอิงนั้น บอบบางและขี้น้อยใจเพียงไร
ถูกว่าเพียงเล็กน้อย นางก็มีน้ำตาซึมให้เห็นแล้ว ทว่าเวลานี้นอกจากจะไม่มีอาการเช่นนั้น นางยังเมินเฉยต่อเขา จนตัวเขามิอาจนิ่งเฉยได้
“ท่านแม่ทัพ คุณชายสามมาถึงแล้วขอรับ”
พ่อบ้านของจวน ได้เอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดัง ด้วยเขาเอ่ยเรียกผู้เป็นนายอยู่หลายครั้ง ทว่าก็ไร้ซึ่งคำตอบใด ๆ
“หือ! น้องสามมาถึงแล้วรึ เช่นนั้นให้เขาไปรอข้าที่ห้องรับแขก ประเดี๋ยวข้าตามไป”
ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น หลังจากตื่นจากภวังค์ของความคิด ที่ตัวเขาพยายามสลัดมันออกไปจากหัว ทว่ามิอาจทำได้อย่างที่ใจคิด
“ขอรับท่านแม่ทัพ” พ่อบ้านชรารับคำ ก่อนจะรีบไปจัดการตามที่ผู้เป็นนายสั่ง
จ้านซือถง เรียกรองแม่ทัพมาสั่งงานต่อ ก่อนจะออกจากลานฝึก ตรงไปยังเรือนฉีอิง เพื่อรับภรรยามาร่วมมื้อค่ำ ซึ่งปกติแล้วเขาไม่เคยทำมันเลยสักครั้ง นับตั้งแต่แต่งงานกับนาง
