6
“ข้าเชื่อใจต้าเจี่ย ลูกยังเล็ก เป่าเป้ยแม้พูดไม่ได้ แต่นางน่ารักเหลือเกิน”
หรานชุนเจียวบอกเช่นนั้น แต่ยังไม่ได้หายไหน ร่างขาวๆ ลอยวนเวียนไปมา พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ของตนเองสู่หยกสวรรค์
“เฮ้อ เรื่องนี้ ไม่ง่ายเลยนะ แล้วต่อจากนี้ ฉันก็คือเธอใช่ไหมอาเจียว”
“ใช่ ต้าเจี่ยก็คือข้าอีกคน แต่บอกก่อนเลยนะ ข้าไม่อยากเป็นตัวประกอบในชีวิตผู้อีกแล้ว ต้าเจี่ยช่วยทำให้หรานชุนเจียวคนนี้ มีชีวิตที่ดีขึ้นได้หรือไม่ เป็นตัวเอกในนิยายที่ตนเองเขียนเรื่องราวเอง ไม่ต้องมีชีวิตที่ถูกรังแกจาก... เอ่อแม่สามี แล้วก็น้องชายของเขา รวมถึงคนอื่น ที่มักเห็นข้าเป็นตัวอัปมงคล”
หยกสวรรค์นิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจับต้นชนปลายได้ว่า เรื่องราวของหรานจุนเจียว เป็นข้อมูลที่เธอสั่งให้เสริมแต่งขึ้น เป็นนิยายแนวดราม่าสู้ชีวิต เพื่อให้สินค้าที่เธอกำลังสั่งผลิตมีภูมิหลังอันน่าสนใจ มันคือซอสพริกสูตรต้นตำรับจากเมืองที่มีวัตถุชั้นเลิศ และมันมีรสชาติแสนมหัศจรรย์ แล้วยังมีซีอิ๋วดำหวาน กับซอสน้ำมันพริกใช้ทำอาหารอีกด้วย ทั้งหมดเป็นตำรับของสตรีใบ้ผู้หนึ่ง และเธอคือเป่าเป้ยลูกสาวของหรานชุนเจียว และมันได้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
“เฮ้อ แต่จะให้ฉันเป็นเธอนี่นะหรานชุนเจียว แล้วให้ตายเถอะ ก่อนหน้านี้ ใช้ชีวิตให้มันดีกว่านี้สักหน่อยไม่ได้หรือไง”
เมื่อบ่นจบ หยกสวรรค์ก็รู้สึกว่า ตนเข้าสู่ร่างของหรานชุนเจียวสำเร็จแล้ว แต่... มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ที่จะฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
********************
เมื่อเด็กหญิงเห็นว่าแม่นอนมากเกินไปแล้ว และตัวเย็นเหลือเกิน ก็เริ่มทำมือทำไม้ บอกให้จางเนียนทำอะไรเสียที แม่นางน้อยไม่อยากให้มารดากลายเป็นป้ายวิญญาณแบบเดียวกับบิดาของตน
จางเนียนพยักหน้าเข้าใจ แล้วปลอบแม่นางน้อย
“เสี่ยวเป้ย ข้าเข้าใจ อย่างไรแม่เจ้าต้องมีชีวิตอีกยาวนาน คราวนี้เราต้องช่วยกัน เจ้าต้องเข้มแข็ง วันข้างหน้ามีหลายสิ่งต้องสะสาง และจดจำเอาไว้ว่าใครคือศัตรู ใครคือมิตรยามยาก”
แม่บ้านบอกเด็กหญิงจบ ก็มองไปทางหรานปู้เจ๋ง
“เสี่ยวเจ๋ง เชื่อป้าเถิด พาแม่พี่สาวเจ้าไปหาหมอก่อน เรื่องอื่นว่ากันทีหลัง”
พอจางเนียนเอ่ยเตือนสติอีกหน เด็กชายก็หันไปมองรถลาลาก ซึ่งมีคนดูแลเป็นชายชราวัยหกสิบกว่า เหลียนถงคือคนเก่าคนแก่ที่อยู่เรือนนอกหลังนี้มานาน มีหน้าที่เฝ้าเรือนนอก ทั้งยังดูแลเรื่องจิปาถะทั่วไป
หรานชุนเจียวถูกพาขึ้นรถสามล้อถีบ ร่างนางอ่อนแรงลงเรื่อยๆ หัวใจเต้นเนิบช้า ฝ่ายหรานปู้เจ๋งที่วิ่งตามรถ เขาหัวเสีย อยากกระชากลุงคนบังคับรถลาลากลงทิ้งข้างทาง และไปทำหน้าที่แทน
“เสี่ยวเจ๋งเจ้าต้องใจเย็นๆ” เหลียนถงบอก และเช็ดเหงื่อของตนไปด้วย กระทั่งรู้สึกว่ามือเกร็งจัด และปวดตรงข้อนิ้วโป้งจนจับสิ่งใดไม่ได้ ตาก็ลาย แถมเปรี้ยวปาก มีอาการง่วงหาวนอนตลอด
พอเป็นเช่นนั้นมากๆ ก็หยุดรถลาลากเสียดื้อ
“เอาล่ะ ไป พาฮูหยินน้อยไปหาหมอเองเถอะ ข้าไม่ไหวแล้ว”
เหลียนถงลงมายืนขาสั่น เหงื่อแตก ซึ่งในยามนั้นหรานปู้เจ๋งจึงขึ้นไปบังคับรถลาลากด้วยตนเอง
แต่เขายังเด็กทั้งใจร้อน จึงไม่ชำนาญทั้งยังทำให้ลาตกใจ พุ่งไปข้างหน้าอย่างเร็ว เป็นที่หวาดเสียวต่อผู้พบเห็น
ขณะนั้น หรานปู้เจ๋งคิดถึงช่วงเวลาที่บิดาฝากเขาไว้กับพี่สาว จากนั้นก็หายไปพร้อมกับเงินที่คนสกุลเฉินมอบให้ และในความจริง ค่าตัวหรานชุนเจียว เป็นเงินเกือบห้าสิบตำลึงเงิน และมีโฉนดที่ดินอีกหนึ่งแปลง หากถูกบิดาขโมยเอาไปเสียก่อน แล้วจึงอ้างว่า ฝ่ายนั้นให้เงินมาเพียงครึ่งพวงทองแดง และมีเกลือ แล้วก็ข้าวสารอีกเล็กน้อย ตามที่ไป๋หนิวดูแคลน
ในช่วงเวลานั้น ทั้งเขาและพี่สาวเคว้งคว้าง กระทั่งมีคนอ้างตัวว่ามารับไปบ้านเฉินทั้งคู่ ซึ่งภายหลังได้รู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือเฉินเติ้งข่าย ผู้เป็นสามีและพ่อเฉินเป่าเป้ย ในภายหน้า
“เจี่ยเจียว... ต้องไม่เป็นไร ต่อจากนี้พอข้าเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังจอมโจรขอทาน ข้าจะซื้อเรือนใหม่ และหาเงินให้เจี่ยเจียวใช้ ไม่ต้องทำงานหนักๆ อีกแล้ว เราหนีความยากจนกันมา แต่ต้องทำงานให้สกุลเฉินที่แสนร้ายกาจ ข้าว่ามันไม่ถูกต้อง เราควรมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่านี้”
เด็กชายเพ้อฝันไม่เลิก นั่นเป็นเพราะช่วงเวลาที่พี่เขยอยู่คฤหาสน์เฉิน ฝ่ายนั้นสอนเขาหลายสิ่ง รวมถึงบอกว่าหากวันข้างหน้ารับราชการเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ไม่ได้ จงเป็นโจรเสีย และอย่าให้ใครมาเอาเปรียบ หรือถูกคนชั่วลอกใช้ง่ายๆ
