บทที่ 13 หลินซูหยิ่น
พอกลับมาถึงตระกูลสวี ตรงลานจอดรถมีรถจอดเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคัน ดูเหมือนว่าที่บ้านจะมีแขก
คนรับใช้ของตระกูลสวีเห็นคุณชายขับรถสปอร์ตที่ท้ายรถพังกลับมา ทุกคนต่างมีสีหน้าที่เคยชินไปแล้ว เพราะคุณชายขับรถชนบ่อยๆ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาจะถูกคนอื่นชน
พอได้ยินเสียงรถสปอร์ต ฟางหลันก็รีบเดินออกมาจากบ้าน ข้างหลังมีสาวสวยคนหนึ่งเดินตามมาด้วย สาวสวยยืนอยู่ข้างฟางหลัน ดูไปแล้วเหมือนเป็นพี่น้องกัน
สิ่งที่ดึงดูดสายตาคือขาเรียวยาวเรียบเนียนของเธอ รูปร่างอวบอิ่ม ผิวพรรณเนียนนุ่ม ขอแค่เป็นผู้ชายก็ต้องหลงใหลในเรียวขาอันสวยงามนี้
เธอดูอายุไม่ต่างจากสวีเส้าถางมากนัก ยืนอยู่ตรงนั้น เธอดูโดดเด่นและสง่างาม แววตาของเธอสดใส เปล่งประกายความมีเสน่ห์; คิ้วเรียวที่โค้งงาม ไม่ว่าจะขมวดคิ้วหรือยกยิ้มล้วนแสดงให้เห็นถึงความมีเสน่ห์แบบผู้ใหญ่; จมูกเล็กริมฝีปากกระจับ ผิวหน้าขาวเนียน เธอสวมชุดกระโปรงคอเหลี่ยมสั้นสีชมพู ทำให้ดูเรียบง่ายและมีสไตล์ ที่เอวมีเข็มขัดสีน้ำเงินผูกไว้ เมื่อารวมเข้ากับแผ่นหลังตรงและรูปร่างที่สูงโปร่ง ทำให้บุคลิกของเธอดูงดงามอย่างยิ่ง
ความงามของเธอไม่น้อยกว่าซ่งญีโน่เลย หรือจะพูดให้ตรงไปตรงมาคือ ในสายตาของสวีเส้าถาง เสน่ห์น่าดึงดูดในของสาวสวยคนนี้มีมากกว่าซ่งญีโน่ ถึงแม้จะเป็นสาวสวยเหมือนกัน แต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ซ่งญีโน่ดูเย็นชาและสูงส่ง ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลเกินเอื้อม ส่วนเธอกลับให้ความรู้สึกฉลาดมีสติปัญญา สง่างาม และอ่อนหวาน ทำให้ไม่มีใครสามารถต้านทานและอยากจะเข้าใกล้เธอได้
“เส้าถาง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? รถชนอีกแล้วเหรอลูก? มาให้แม่ดูหน่อย บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” พอเห็นสภาพรถสปอร์ตที่พังยับเยิน ฟางหลันก็รู้ทันทีว่าลูกชายของเธอรถชนอีกแล้ว แต่เธอไม่สนใจว่ารถจะพังแค่ไหน เธอสนใจแต่ว่าลูกชายของเธอจะบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
“ผมไม่เป็นไรครับ แต่รถถูกชนจนสภาพยับเยินไปหน่อย” สวีเส้าถางยกยิ้มแหย
พอสาวสวยเห็นท่าทางไม่ใส่ใจของสวีเส้าถาง เธอก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที เธอเดินเข้าไปชี้จมูกของสวีเส้าถางแล้วตะโกนต่อว่า “นายจะดื้อเกินไปแล้วนะ เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา ก็ยังจะไปซิ่งรถอีก จะให้คนในบ้านต้องเป็นห่วงนายไปจนตายเลยหรือไง?!”
คนที่กล้าดุสวีเส้าถางนั้นมีไม่มาก และคนที่ทำให้สวีเส้าถางยอมถูกดุได้ก็ยิ่งน้อยเข้าไปอีก และสาวสวยคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น หรือจะเรียกได้ว่าเป็นคนเดียวเลยก็ได้!
“พี่ครับ ครั้งนี้มันไม่ใช่ความผิดของผมเลยนะ ผมขับรถอยู่ดีๆ ก็มีคนมาชนท้ายรถผม ผมยังคิดว่าตัวเองโชคร้ายอยู่เลย รถก็จอดอยู่ตรงนั้น ถ้าไม่เชื่อพี่ก็ไปดูได้…” สวีเส้าถางพูดด้วยความรู้สึกน้อยใจ แต่ในใจเขากลับมีความรู้สึกแปลกๆ รู้สึกเหมือนหัวใจที่แข็งแกร่งของเขาเกิดรอยร้าวขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่ตอนที่เผชิญหน้ากับซ่งญีโน่ เขาก็ไม่เคยมีความรู้สึกที่ยากจะควบคุมเช่นนี้มาก่อน
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเขาไม่ควรมีความคิดอะไรกับสาวสวยคนนี้ แต่เขาก็อดที่จะอยากมองเธอบ่อยๆ ไม่ได้
สาวสวยคนนี้คือหลินซูหยิ่น ลูกพี่ลูกน้องของสวีเส้าถาง เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสาวสวยที่มีชื่อเสียงในเทียนไห่ ปีนี้เธออายุยี่สิบเจ็ดปี ในช่วงที่เธอเรียนมหาวิทยาลัยมีคนที่ตามจีบเธอเป็นจำนวนมากจนสามารถเรียงแถวยาว! แต่เพิ่งเรียนจบได้เพียงหนึ่งเดือน เธอก็ไม่สนใจคำคัดค้านของครอบครัว และตัดสินใจแต่งงานกับตำรวจหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนมัธยมของเธอ — หยางรุ่ย
วาสนาที่ทำให้ทั้งสองได้เริ่มคบกันเพราะสถานการณ์ที่แสนโรแมนติกอย่างวีรบุรุษช่วยสาวงาม หลังจากใช้เวลาคบหาดูใจกันหนึ่งสัปดาห์ พวกเขาก็ตกลงใจแต่งงานกันอย่างรวดเร็ว ทำให้ชายหนุ่มจำนวนมากต้องอกหักไปตามๆ กัน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับครอบครัวแตกหักมากขึ้น หลังจากแต่งงานไม่นาน พวกเขาก็มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ทั้งสามคนใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข แม้จะไม่มีชีวิตหรูหราเหมือนตอนที่อยู่ตระกูลสวี แต่ก็ใช้ชีวิตอย่างอบอุ่นและมีความสุข
หยางรุ่ยถือเป็นดาวรุ่งในวงการตำรวจ หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนตำรวจ ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี เขาก็กลายเป็นหัวหน้าทีมตำรวจสืบสวนของเมืองเทียนไห่และยังเป็นหนึ่งในคนที่คอยช่วยเหลือของสวีเส้าถางมาตลอด
มีหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกเขา แต่ตอนนี้พวกเขาแต่งงานกันห้าปีแล้ว แต่ยังคงรักและเคารพซึ่งกันและกัน ทำให้ผู้ที่เคยไม่เชื่อในความสัมพันธ์ของพวกเขาต้องเงียบไป
สวีเส้าถางคนก่อนไม่เคยเชื่อฟังคำพูดของพ่อแม่ แต่กลับเชื่อฟังคำพูดของลูกพี่ลูกน้องคนนี้มาตลอด ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าเขาจะหยิ่งผยองต่อหน้าคนอื่นแค่ไหน แต่พออยู่ต่อหน้าลูกพี่ลูกน้องคนนี้ เขาก็มักจะมีท่าทีสุภาพอ่อนโยนเสมอ
เหตุผลที่เขาเชื่อฟังคำพูดของลูกพี่ลูกน้องคนนี้มากขนาดนั้น เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนเขายังเด็ก มีครั้งหนึ่งตอนเขาอายุแปดขวบพลัดตกน้ำไป ทั้งสองคนแอบออกไปเล่นข้างนอก แต่สวีเส้าถางกลับตกลงไปในบ่อน้ำ ตอนนั้นหลินซูหยิ่นมีอายุเพียงสิบขวบและว่ายน้ำไม่เป็นเช่นกัน เธอต้องพยายามอย่างหนักเพื่อจะช่วยเขาขึ้นมาได้ แต่หลินซูหยิ่นก็เกือบจะจมน้ำไปตาย หลังจากนั้นสวีเส้าถางก็เชื่อฟังคำพูดลูกพี่ลูกน้องคนนี้มาตลอด
ถึงแม้สวีเส้าถางจะมีพฤติกรรมไม่ดี เช่น ดื่มสุราและเล่นการพนัน ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ข่มขืนซ่งญีโน่ เขาก็ไม่เคยทำสิ่งที่ผิดศีลธรรมอะไรมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการควบคุมของลูกพี่ลูกน้องคนนี้
“จริงเหรอ?” หลินซูหยิ่นเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ
สวีเส้าถางพยักหน้า แล้วเดินไปนั่งข้างหลินซูหยิ่น
หลินซูหยิ่นจ้องมองสวีเส้าถางอย่างละเอียดสักพัก เพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้พูดโกหก ก่อนจะรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดู “เอาล่ะ ไม่ต้องรู้สึกน้อยใจเลย เป็นพี่ที่เข้าใจเราผิดไป!”
ตั้งแต่เล็กจนโต ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ ไม่ว่าคนภายนอกจะพูดว่าเขาเลวทรามแค่ไหน แต่เขาก็แทบจะไม่เคยโกหกต่อหน้าเธอเลย และถ้าเขาโกหก เธอก็สามารถมองออกได้เสมอ
พอเห็นหลินซูหยิ่นยื่นมือไปลูบหัวเขา สวีเส้าถางจึงรีบหันหน้าหลบ “พี่ครับ ผมโตแล้วนะ…”
“โตแล้ว?” หลินซูหยิ่นส่งเสียงหึหึ ดวงตาที่สวยงามจ้องมองเขาแล้วพูดว่า “ผู้ใหญ่คนไหนที่เหมือนนายบ้าง ที่ใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ ไม่ทำอะไรเลย? คุณลุงอายุห้าสิบหกปีแล้วนะ นายไม่เคยคิดจะช่วยแบ่งเบาภาระงานของท่านเลย ยังปล่อยให้คนในบ้านต้องเป็นห่วงนายตลอดเวลา ดูสภาพนายตอนนี้สิ มีอะไรที่เหมือนผู้ใหญ่บ้าง!”
“เอาล่ะ สองคนนี้อย่าทะเลาะกันเลย เส้าถางยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหมลูก เดี๋ยวแม่ไปทำอาหารอร่อยๆ ให้กิน!” ฟางหลันมองดูพี่น้องคู่นี้และยิ้มอย่างมีความสุข พอเห็นลูกชายไม่เป็นอะไร อารมณ์ของเธอก็ดีขึ้น พอได้ยินฟางหลันพูดแบบนี้ สวีเส้าถางถึงได้นึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้กินข้าวเลย และพอพูดขึ้นมาก็รู้สึกหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ ขึ้นมาทันที
