บทที่ 9. การกลับมาของอสรพิษ
กุ้งเต้นปรายตามองหัวหน้าแม่บ้าน ตามตำแหน่งที่ได้ยินมาด้วยอาการเก็บความสงสัยไว้มิดชิดในขณะที่นั่งเล่นกับน้องพราวเงียบๆ ที่สนามหญ้าใต้ต้นก้ามปูยักษ์ที่มีเด็กๆ ลูกคนงานหลายคนมาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน บางคนก็พากันโล้ชิงช้าที่ยอดรักได้สั่งการให้สามีนำมาผูกไว้ให้เด็กๆ ได้เล่นกัน และการที่มีเด็กๆ มาเล่นที่นี่ก็ทำให้เรือนเด่นที่เคยเงียบเหงาและเคร่งครัดคลายความเหงาลงไปได้เยอะทีเดียวซึ่งมันทำให้ใครบางคนไม่พอใจทั้งที่ตนเองก็ไม่ใช่เจ้าของบ้าน...
“หึ... ดูสิ มันให้ลูกคนงานลูกพวกขี้ข้าทั้งหลายมาวิ่งเล่นกันยั้วเยี้ย ช่างไร้สมองเสียจริงๆ ถ้าข้าวของในเรือนหายไปจะทำยังไงกัน...”
“นี่นังแมว เอ็งมีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไป อย่าไปเสือกเรื่องของเจ้านายให้มันมากนัก เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขาว่าแต่เขา เราเองก็ขี้ข้า...” ป้าแก้วร้องเตือนหลานสาวที่เอาแต่ยืนบ่นไม่คิดจะช่วยนางยกข้าวยกของเข้าครัว
“ก็มันจริงนี่ป้า ดูสิ เด็กแต่ละคนมอมแมมกันทั้งนั้น สกปรกก็เท่านั้น ยี้...” หญิงสาวทำท่าขยะแขยง
“เมื่อก่อนตอนเอ็งเล็กๆ สารรูปยิ่งกว่าพวกนี้อีก อย่ากระแดะลืมกำพืดหน่อยเลยว่ะนังแมวเอ๊ย ความอิจฉาริษยาก็เหมือนกัน เพลาๆ ลงบ้าง ชีวิตเอ็งจะได้มีความสุข”
“นี่ป้าด่าฉันเหรอ”
“ข้าไม่ได้ด่า แต่ข้ากำลังสอน...”
“ป้าเห็นคนอื่นดีกว่าฉันเสมอเลย ดี... แล้วเราจะได้เห็นกัน ฉันไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายฉันได้หรอก...”
พูดจบแมวก็สะบัดก้นกระแทกเท้าเดินจากไปอย่างไร้เหตุผล ป้าแก้วได้แต่มองตามแล้วส่ายหน้าอย่างระอิดระอาใจ แมวคงเกินเยียวยาแล้วจริงๆ
“เฮ้อ... นังแมวเอ๊ย ใครเขาจะไปคิดร้ายทำลายเอ็ง มีแต่เอ็งเท่านั้นล่ะที่คิดทำร้ายตัวเองและคนอื่นมาตลอด...”
ป้าแก้วพูดกับตัวเองด้วยใจที่หมองเศร้า เหมือนนางจะรู้สึกถึงแรงบางอย่างจากหลานสาวที่อาจจะนำพามาซึ่งความเดือดร้อนในภายหลัง...
กุ้งเต้นมองตามแมวไปอย่างไม่ไว้ใจ ใช่ว่าเธอจะมาแอบฟังสองป้าหลานคุยกัน แต่ท่าทางที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจของแมวทำให้เธอรู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง เซ้นส์กะเทยไม่เคยพลาด...
“คุณพลเหรอคะ กุ้งเองนะคะ พอดีมีเรื่องอยากให้ช่วยน่ะค่ะ...” กุ้งเต้นเดินเลี่ยงออกมาแล้วโทรศัพท์หาพลด้วยความรู้สึกไม่สบายใจและห่วงเพื่อนรัก...
พิชฎายิ้มกริ่มเมื่อได้รับข่าวบางอย่างจากคนที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอกันอีก แมว เพื่อนรักสมัยเรียนที่ห่างหายไม่ได้เจอหน้ากันราวสองปีกว่าที่จู่ๆ ก็โทรศัพท์มาหาในช่วงเวลาที่เธอกำลังจะเจอทางตันเหมือนสวรรค์ช่างมีตา...
“ทิตย์หายหน้าไปไหนมาคะ พิชชี่โทร. หาก็ไม่รับสาย...”
พิชฎาหุบยิ้มแล้วหันไปสนใจอาทิตย์ที่เพิ่งเดินเข้าบ้านมาด้วยท่าทางหงุดหงิด ชายหนุ่มไม่ทักทายมารดาที่ขายไก่ย่างอยู่หน้าบ้านและไม่คุยกับคนที่ได้ชื่อว่าภรรยาแต่เดินเข้าห้องแล้วทำท่าจะปิดประตูหนีเสียงแว๊ดๆ ของเธออีกด้วย...
“นี่... อย่าเดินหนีพิชชี่นะทิตย์”
เธอเดินมาทันก่อนที่เขาจะปิดประตู อาทิตย์มองหน้าบูดบึ้งมันเยิ้มของเธออย่างรำคาญแม้ว่าเธอจะแต่งหน้าอยู่กับบ้านเสียสวยงาม แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกชื่นชมมันนัก
“มีอะไร คนมาเหนื่อยๆ จะอาบน้ำนอน”
“เดี๋ยวนี้ทิตย์ดูแปลกๆ ไปนะ ทำเหมือนรำคาญพิชชี่”
“ก็จริง น่ารำคาญ รำคาญเสียงแว๊ดๆ ที่คอยตามหลอกตามหลอนฉันเนี่ยล่ะที่ทำให้ฉันไม่อยากจะเข้ามาที่นี่ น่าเบื่อ...” อาทิตย์หันมาตะคอกใส่หน้าเธอด้วยความฉุนเฉียว
“อาทิตย์...” พิชฎาร้องออกมาเหมือนชะนีโดนเชือดมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มที่เธอเคยเทิดทูนและรักนักรักหนาอย่างไม่อยากเชื่อว่าเขาจะพูดเช่นนี้กับเธอ...
“ทำไม ก็ฉันพูดความจริง จะบอกอะไรให้นะพิชชี่หากทำตัวให้อยู่อย่างมีคุณค่าไม่ได้ก็อยู่เฉยๆ อย่าแส่ให้มากนัก...”
พูดจบอาทิตย์ก็ปิดประตูใส่หน้าเธอทันที พิชฎาอ้าปากค้างมองประตูที่กั้นเธอกับเขาไว้ด้วยความเดือดดาลก่อนจะกรีดร้องออกมาสุดเสียง...
“กรี๊ดดดด... ไอ้บ้า ไอ้ทุเรศ ได้แมงดา... ออกมาคุยกันเดี๋ยวนี้ ออกมาคุยกันให้รู้เรื่องนะโว๊ย...” นอกจากกรีดร้องแล้วเธอยังทุบประตูปังๆ เรียกร้องให้คนข้างในออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“อะไรวันนักหนาวะ สองผัวเมียนี่...” นางแปลกหันมองตัวบ้านที่มีเสียงลูกชายกับลูกสะใภ้ที่ไม่ยินดีต้อนรับเอ็ดอึงด้วยความรู้สึกหนักอกหนักใจแทน...
“เมื่อไหร่มันจะเลิกๆ กันไปซะทีวะ...”
สุดท้ายนางก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วตำส้มตำขายไปเรื่อยๆ สู้หาเงินไว้เลี้ยงหลานดีกว่า... แต่แล้วความคิดของนางก็สะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องและข้าวของแตกกระจายซึ่งครั้งนี้มันแตกต่างออกไปจากที่เคยเป็นนางแปลกจึงวิ่งเข้าไปดูเหตุการณ์ในบ้านด้วยความตื่นตกใจ แต่ภาพของลูกชายลูกสะใภ้ตรงหน้าก็ทำให้นางถึงกับเข่าอ่อน...
หลังจากที่คุณดาราถ่ายทอดวิชาปลายจวักให้กับลูกสะใภ้คนโตหมดทุกอย่างแล้วก็กลับกรุงเทพฯ ไปด้วยความอิ่มอกอิ่มใจที่ได้สะใภ้ถูกใจน่ารักสมกับที่ตั้งใจไว้ ทางด้านอัคราก็หน้าชื่นตาบานประสาคนเพิ่งได้เป็นเจ้าบ่าวผู้โชคดี ที่มีภรรยาที่ทั้งสวย เก่งและฉลาดเฉลียวเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการบริการงานโรงทอดีแลนด์ซิลด์ที่ทำท่าว่าจะเจริญรุ่งเรืองไปอีกขั้น ตอนนี้อะไรๆ ในชีวิตของเขาก็สว่างไสวงดงามเพราะมียอดรักเป็นยอดขวัญประดับไร่อันกว้างใหญ่ที่เงียบเหงามานานดอกไม้ก็บานสะพรั่งขุนเขาลำธารก็งดงามร่มเย็นซึ่งทุกคนต่างก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ที่อะไรๆ ก็ดีงามไปเสียหมด...
สามเดือนผ่านไปคนทุกคนต่างก็ดำเนินชีวิตไปตามปกติสุขแต่คนที่มีความสุขที่สุดก็คงเป็นยอดรักกับอัคราเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ยังหวานกันไม่เลิก วันนี้ก็เช่นกันนายใหญ่แห่งไร่อัครากอดอกยืนหน้าเข้มคุมคนงานที่ล้างคอกม้าอยู่ด้วยท่าทางขึงขัง ก่อนจะยิ้มกว้างเปลี่ยนท่าทางขึงขังเป็นยิ้มกริ่มนัยน์ตาพราวพรายเมื่อเห็นภรรยาคนสวยเดินถือตะกร้าที่บรรจุกล่องอาหารกลางวันมาด้วย
อัครารีบเดินไปโอบกอดร่างบางของภรรยาในชุดผ้าซิ่นไหมงดงามเข้าไปนั่งหลบแดดในเรือนไม้หลังเล็กใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งเป็นสำนักงานของไร่อัคราซึ่งก่อนหน้านี้เขามักจะอยู่ที่นี่มากกว่าอยู่ที่บ้านเสียอีกแต่ตอนนี้ที่ไหนมียอดรักที่นั่นก็ต้องมีอัคราติดสอยห้อยตามดุจดังเงาตามตัว...
“ยอดรักจ๋า วันนี้มีอะไรให้พี่เด่นทานเอ่ย” ชายหนุ่มยิ้มอ้อนภรรยาที่ส่งค้อนมาให้รองท้องก่อนอันดับแรก
“ไม่ต้องกอดรักแน่นขนาดนี้ก็ได้ค่ะ หายใจไม่ออก ทำเหมือนไม่เคยกอดงั้นล่ะ”
“ก็แหม... คนเขารักเมียอยากกอดเมียก็ผิดเหรอครับ”
“รักได้ค่ะ กอดได้ค่ะ แต่อายคนงานบ้างสิคะ คนอะไรชอบทำประเจิดประเจ้อ...” ปากก็บ่นสามีไปดวงหน้างามก็แดงไปด้วยช่างน่ารักน่าปรารถนาเกินกว่าจะหักห้ามใจทำแค่กอด...
แล้วอัคราก็คิดว่ามันจะดีกว่าถ้าเขาไม่ทำเพียงแค่คิดดังนั้นเขาจึงรั้งภรรยาสาวเข้าไปยังห้องทำงานที่มิดชิดของตนซึ่งมีห้องนอนขนาดกะทัดรัดซ่อนอยู่หลังฉากซึ่งเป็นภาพวาดทิวทัศน์อันงดงามของไร่แห่งนี้ที่เขาวาดมันขึ้นมาเอง...
“อื้อ.. พี่เด่นจะทำอะไรคะ ทานข้าวก่อนเดี๋ยวมันจะเย็นหมดอร่อย...” หญิงสาวพยายามบอกสามีแต่เรี่ยวแรงของเธอก็เหมือนถดถอยลงไปเพราะปากกับมือร้อนๆ ของเขา เสียงห้ามก็เริ่มแผ่วพร่าลงไปมือไม้ก็หาที่ยึดเกาะซึ่งก็หนีไม่พ้นร่างแกร่งของเขา
อัครายิ้มใส่ตาเธอด้วยประกายตาหวานฉ่ำที่บ่งบอกว่าอย่างไรเสียมื้อนี้เขาก็จะกินเธอเป็นอาหารเที่ยงแน่นอน ยอดรักก็ได้แต่หลับตาลงอย่างอ่อนอกอ่อนใจเมื่อเขาทาบริมฝีปากร้อนลงมาบนกลีบปากนุ่มของตน หญิงสาวเผยอปากรับเขาอย่างไม่เกี่ยงงอนแม้จะยังขัดเขินอยู่บ้าง ซึ่งข้อนี้เองทำให้อัครานึกขบขันภรรยาไม่หาย ยอดรักนั้นดูเป็นสาวมั่นและร้อนแรง ทุกครั้งที่อยู่บนปกนิตยสารหรือยามที่เดินแบบบนรันเวย์เธอจะดูร้อนแรงมาดมั่นแสนเก่งกาจ แต่จริงๆ แล้วยอดรักอ่อนหวานน่ารักและเขินอายเก่งเป็นที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเขาอยากจะแสดงความรักกับเธอ...
มือใหญ่ปลดปมผ้าซิ่นผืนงามออกแล้วตามด้วยเสื้อตัวสวยจนร่างงามเหลือเพียงชั้นในลูกไม้หวานละมุนก่อนจะรีบปลดเปลื้องเสือผ้าของตนเองออกอย่ารวดเร็วแล้วรั้งร่างบางลงไปบนเตียงนุ่ม ชายหนุ่มมองอกอวบที่เขาหลงใหลไม่แพ้ส่วนใดในร่างงามนี้อย่างตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่ได้เห็น อัครามองภรรยาด้วยความรักทั้งหมดที่มีความชื่นชมหลงใหลฉายชัดอยู่ในดวงตาคม ทำให้ยอดรักคลายความเอียงอายลงไปได้บ้าง แล้วก็ต้องครางแผ่วเมื่อเขาก้มลงมาดูดกลืนยอดอกสีสวยอย่างหิวกระหายทั้งฟอนเฟ้นมันอย่างเมามันอีกมือก็เลื้อยไล้ลงไปยังเนินนางที่หอมหวานไม่แพ้กัน...
นิ้วแกร่งหยอกเย้าลูบไล้ไปทั้งเรือนกายละมุน ยอดรักมีผิวที่เนียนนุ่มและให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนหวาน ผิวสีน้ำตาลของเธองดงามผุดผ่องอยู่ท่ามกลางแสงจ้าของดวงตะวันยามเที่ยงนั้นงดงามเกินจะกล่าว และเขาก็ชอบผิวของเธอที่สุด...
“หวานเหลือเกินรักจ๋า... อื้ม ยอดรักของพี่...” อัคราครางงึมงำอยู่กับอกอวบเรียวลิ้นร้อนตวัดดูดกลืนอย่างเมามันสร้างความซ่านกระสันให้กับเธอมากขึ้นด้วยการขบเม้มด้วยฟันขาวๆ ของเขาจนยอดรักครางเสียงดังด้วยความเสียวสุดใจ
“อ๊า... พี่เด่นขา อู้ยยย...” ร่างสาวแอ่นหยัดเหนือที่นอนนุ่มเผยอกายตอบสนองเขาอย่างลืมอาย
อัครายิ้มพอใจกับความน่ารักของเธอแต่มันยังไม่พอสำหรับเขา อัครารั้งกายสาวมายังขอบเตียงขาเรียวสวยตั้งชันอยู่บนเตียงข้างหนึ่งและอีกข้างพาดอยู่ที่ขอบเตียงแล้วตนเองก็เข้ามาแทรกกลางระหว่างเรียวขาเสลา ดวงตาคมจ้องมองกลีบดอกไม้งามสดฉ่ำด้วยน้ำหวานตรงหน้าเหมือนต้องมนต์ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่มองมันก็กระตุ้นเร้าให้เขาอยากจะดื่มกินเสียทุกครั้งและรู้สึกคอแห้งทันทีที่ได้เห็น...
“โอ้ว... รักจ๋า สวย หวาน เหลือเกิน...” อัคราครางชิดเนินเนื้อนางหอมหวานทั้งดื่มกินมันอย่างหิวกระหายดื่มด่ำไปกับรสชาติของมันด้วยความหลงใหล ในขณะที่เจ้าของกลีบดอกไม้งามกรีดร้องครางกระสันรัญจวน มือเรียวสวยจิกทึ้งผ้าปูที่นอนจนยับย่นเพื่อระบายความซ่านเสียวที่รุมเร้าจนแข้งขาสั่นไปหมดแต่กระนั้นก็ไม่ต้องการให้เขาหยุดทรมานเธอด้วยปากและลิ้นร้อนผ่าว
“พี่เด่นขา พี่เด่น...” หญิงสาวครางกระเส่าก่อนจะแทบหยุดหายใจเมื่อเขาหยุดดื่มกินเธอแล้วเปลี่ยนสลับที่กับเธอ ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายที่นั่งอยู่ริมเตียงแล้วดึงให้เธอมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าร่างแกร่งของเขา ยอดรักค่อนข้างจะงงๆ ว่าทำไมเขาจึงหยุดแต่เมื่อเขาช้อนคงมนขึ้นมาจุมพิตและกระซิบเบาๆ ให้เธอทำบางอย่างให้เขาบ้างหญิงสาวก็หน้าแดงก่ำ...
“ตะ แต่รัก...”
“นะครับคนดี ยอดรักของพี่ทำได้และเก่งด้วย...” เขาเอ่ยชมด้วยประกายตาวาวหวานซึ่งมันทำให้ยอดรักหน้าแดงซ่านและมีกำลังใจที่จะทำในสิ่งที่เขาขอ...
ดวงตาสวยเฉี่ยวมองความยิ่งใหญ่ชูชันอยู่ตรงหน้าด้วยอาการครั่นคร้ามแต่มันก็น่าลิ้มลองไม่น้อย เธอเองก็อยากทำให้เขามีความสุขจึงเอื้อมมือไปลูบไล้มันช้าๆ แล้วค่อยๆ ก้มลงไปหาความแข็งแกร่งของเขา และทันทีที่ริมฝีปากสาวสัมผัสกับความอลังการ อัคราก็ครางเสียงดังแหงนเงยใบหน้าไปข้างหลังด้วยความเสียวซ่านที่สุดเท่าที่เคยรู้สึกมาและจากลิ้นและปากไร้เดียงสาของภรรยาสุดที่รักนี่เอง...
“โอ้ว รักจ๋า เบาๆ ครับคนดี อู้ยยย... อา... เก่งเหลือเกินรักจ๋า เมียพี่หัวไวเหลือเกิน...” เมื่อเจอนักเรียนหัวไวอัคราก็ถึงกับครางไม่เป็นภาษา ปรือตมองความยิ่งใหญ่ของตนที่ถูกครอบครองด้วยริมฝีปากสวยอย่างซ่านสุขในอารมณ์
“พอแล้วครับยอดรัก ไม่อย่างนั้นพี่คงขายหน้าแย่...” อัคราสุดจะทานทนกับความร้อนระอุดที่อัดแน่นอยู่กลางกาบแกร่งเขารวบร่างบางขึ้นมาแล้วจับเรียวขาเสลาให้คร่อมเขาไว้ก่อนจะกดสะโพกมนเข้าหาความแข็งแกร่งของตนช้าๆ ก่อนจะดันกายเข้าหาเธอจนสุดทาง...
“โอ้ว... อา...” สองหนุ่มสาวครางออกมาพร้อมกันเมื่อความเสียวซ่านรัญจวนโอบล้อมพวกเขาได้ด้วยกรุ่นไอความปรารถนาอันลุกโชติช่วง
ยอดรักรัดเรียวขากับเอวแกร่งไว้แน่นในขณะที่เอนกายไปด้านหลังน้อยๆ โดยเท้ามือไว้กับต้นขาแข็งแรงส่วนมือแกร่งก็จับมั่นที่เอวคอดเพื่อกำหนดจังหวะรักให้ถนัดถนี่บางครั้งก็เลื่อนมาฟอนเฟ้นทรวงสาวที่ไหวกระเพื่อมล่อตาล่อใจอยู่ตรงหน้าด้วยความเมามัน
เพลิงรักเพลิงกามาของหนุ่มสาวดำเนินไปอย่างเข้มข้นและเต็มเปี่ยมด้วยรักที่ทั้งสองมีให้แก่กัน อัคราเฝ้าสอนงานเมียรักอย่างตั้งใจในขณะที่เจ้าหล่อนก็เป็นนักเรียนหัวไวที่ทำให้สามีผู้สอนบทรักแทบคลั่ง แต่เหนือสิ่งอื่นใดอัคราหวังว่าความขยันและความตั้งใจจริงของเขาจะประสบความสำเร็จในเร็วๆ นี้...
ลูก... คำคำนี้ทำให้เขาพาเธอท่องวิมานฉิมพลีไม่เว้นแต่ละวัน ไม่สนใจว่าเธอจะว่าเขาหื่นหรือเซ็กซ์จัดอย่างที่ยอดรักมักพ้อเขาเสมอยามที่ต่างหมดเรี่ยวแรงในอ้อมกอดของกันและกัน แต่เป็นเพราะเขาต้องการสร้างเจ้าตัวเล็กต่างหาก ไม่วายที่อัคราจะคิดเข้าข้างตัวเองอย่างมีความสุขเมื่อเพลงรักเร่าร้อนจบลงถึงสองครั้งสองคราติดๆ กัน และกว่าอาหารกลางวันจะตกถึงท้องพวกเขาเวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบจะสี่โมงเย็น...
แมวเดินทางมาเยี่ยมเพื่อนรักด้วยความสะใจลึกๆ เมื่อเห็นว่าสภาพชีวิตที่ดูดีงามมาตลอดของพิชฎาไม่ได้ดีไปกว่าตนนัก ซ้ำร้ายตอนนี้พิชฎาเลิกกับนายแบบหนุ่มนั่นแล้ว และยังถูกทำร้ายจนเกือบแท้งลูก ทั้งยังเกือบเอาชีวิตไม่รอด แบบนี้ก็ยิ่งง่ายต่อแผนการของเธอน่ะสิ... หญิงสาวซ่อนยิ้มร้ายกาจภายใจสีหน้าที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ...
“โถ... พิชชี่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะกล้าทำเธอขนาดนี้ เขายังเป็นคนอยู่รึเปล่า ทำไมถึงกล้าทำร้ายเธอกับลูกได้ลงคอนะ...”
“หึ... ก็มันไม่ใช่คนน่ะสิ แต่เธออย่าบอกใครนะว่าฉันอยู่ที่นี่”
“ฉันไม่บอกใครหรอก ว่าแต่ห้องนี้มันเป็นของใครเหรอ ก็สวยดีนะ”
แมวกวาดตามองห้องกว้างที่ตบแต่งสบายๆ ด้วยประกายตาอิจฉานิดๆ ที่พอพิชฎาเลิกกับอาทิตย์ไม่ถึงเดือนก็มีเสี่ยหน้าโง่มารับเลี้ยงแม้จะมีความเป็นอยู่ค่อนข้างหลบๆ ซ่อนๆ และไม่ฟู่ฟ่ามากมายก็ตามแต่ก็ถือว่าเจ้าหล่อนยังเสน่ห์แรงใช้ได้...
“ของเสี่ยหน้าโง่คนหนึ่งนั่นล่ะ ฉันแค่มาขออาศัยบารมีมันหลบไอ้แมงดานั่นชั่วคราวพอให้เรื่องมันซาๆ ไปอีกอย่างฉันเองก็อยากจะรักษาตัวเองให้หายเร็วๆ เพื่อแผนการของเรา”
“แล้วนี่เธอเลิกกับนายนั่นจริงๆ เหรอ แล้วลูกชายเธอล่ะ”
“โอ๊ย... อย่าไปพูดถึงเลย มันจะเป็นไงก็เรื่องของพวกมัน อดีตแม่ผัวฉันก็ไม่ชอบหน้าฉันอยู่แล้วอีกอย่างมันก็อยากจะได้ไอ้เด็กเวรนั่นจนตัวสั่นก็ให้มันไป ดีเสียอีกจะได้ไม่เป็นภาระฉันแล้วยังมีข้ออ้างดีๆ อีกด้วย...”
พิชฎายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเพราะเธอมีแผนการในใจอยู่แล้ว และหากใครรู้ถึงแผนการของเธอก็อาจจะไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือความคิดของแม่คนหนึ่ง ที่สามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองพ้นจากสถานะแม่และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรูหราไฮโซขึ้นโดยไม่สนใจว่าลูกในท้องของตนจะเป็นอย่างไร...
“เธอมีแผนจะทำไงล่ะ”
“ไอ้เสี่ยที่มันรับเลี้ยงฉันมันไม่มีลูก มันอยากได้ลูกและฉันก็จะเอาข้ออ้างนี้ไถเงินมัน บอกมันว่าจะเอาเงินไปซื้อลูกคืนมาไงล่ะ”
“โห... เธอนี่หัวแหลมสุดๆ เลยพิชชี่ แล้วได้มั้ย”
“หึ จะเหลือรึ นี่ไง.. ค่าน้ำใจที่เธอมาเยี่ยมฉัน... เอาไปสิ อยากไปคลินิกรักษาฝ้าไม่ใช่เหรอ หน้าดำเพราะไฝฝ้าไปนะเราน่ะ ตีนกาก็เริ่มมาเยือนแล้ว ฉันก็บอกเธอแล้วว่าอย่าซื้อพวกครีมโลว์คลาสพวกนั้นมาใช้ ชอบทำตัวเหมือนพวกบ้านนอกเห่อครีมหน้าขาวไปได้... นี่ต้องอย่างฉันนี่ครีมตัวนี้แพงมากนะ น้ำแร่บำรุงหน้านี่ก็ขวดละสองพันไม่รวมครีมตัวอื่นๆ เห็นเล็กๆ แบบนี้กระปุกละหลายพันนะเธอ...”
ไม่วายที่พิชฎาจะพูดจาข่มให้แมวด้อยกว่าตน ในขณะที่แมวนั้นพยายามซ่อนอารมณ์อยากจะกรีดร้องใส่หน้าเจ้าหล่อนไว้ภายใต้รอยยิ้มซื่อๆ แต่ในใจของแมวนั้นเต็มไปด้วยความชิงชัง...
สักวันเธอจะต้องได้เห็นนังพิชชี่มันอับจนหิวโซเหมือนหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง... แต่ตอนนี้เธอต้องการเงินและต้องใจเย็นไว้ก่อน...
