3 สนิทสนม1
ทันทีที่เปิดประตูร้านเสื้อเข้าไป อาอวี้ที่กำลังเดินวุ่นไปทั่วร้าน ก็รีบวิ่งเข้ามาหา พร้อมกับเรียก “ปาป๊า”
เมื่อเขาอุ้มเด็กน้อยขึ้นจากพื้นเข้าสู่อก เด็กชายก็กอดคอซบไหล่ของเขาอย่างออดอ้อนทันที และการกระทำเช่นนี้ ก็เป็นเหมือนกับการปลอบประโลมตัวเขาด้วย
“สวัสดีครับคุณฮุ่ย” อาหนานที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ เงยหน้าขึ้นกล่าวทักทาย ทั้งลุกออกจากโต๊ะทำงานมาต้อนรับ ก่อนจะหันไปพูดกับลูกชายอย่างต้องการสั่งสอน “เรียกป๊าไม่ได้นะครับ ต้องเรียกคุณลุงฮุ่ย”
“ยุงฮุ่ย” เด็กน้อยพูดตามที่ผู้เป็นพ่อสอนอย่างว่าง่าย
“เด็กดีจริงๆ” อาหนานเอ่ยชมลูกชายตัวเอง ทั้งยังยกมือขึ้นมาลูบหัวด้วยความรักใคร่เอ็นดู ที่เด็กชายว่าง่ายเชื่อฟัง ก่อนจะหันมาทางคนอุ้ม
“คุณฮุ่ยเป็นอะไรเหรอครับ ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจเลย” ถามด้วยความห่วงใย อย่างไรก็นับว่ารู้จักกันแล้ว
ทางด้านเจ้าของชื่อ กลับกำลังตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ ทั้งรู้สึกว่าช่างเหมือนกับที่ตัวเองเคยวาดฝันไว้จริงๆ ฝันที่วาดไว้ว่า มีเขาอุ้มลูกอยู่ แล้วฉู่อวี้ก็ยืนอยู่ด้วยกันและลูบหัวลูกชายด้วยความรักใคร่อย่างนี้ด้วย ช่างเหมือนมากจริงๆ
“คุณฮุ่ยครับ คุณฮุ่ย เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ใจลอยไปไหนแล้ว อาหนานถามทั้งคิดต่อในใจ เมื่อเห็นอาการใจลอยของชายตรงหน้า
“อ้อ ไม่มีอะไรครับ พอดีผมไปเยี่ยมคนรักมา แล้วปรับอารมณ์ยังไม่ได้ ขายหน้าต่อคุณแล้ว” คนใจลอยเอ่ยด้วยรอยยิ้มจนใจ
“ครับ ผมเข้าใจ” ตอบรับเสียงเศร้า เพราะตัวเองก็เสียคนที่รักไปเหมือนกัน จึงเข้าใจได้ดี ยังดีที่มีอาอวี้อยู่ด้วย จึงพอจะช่วยเยียวยาปลอบใจไม่ให้เศร้าได้บ้าง
“ยังดีที่คุณมีอาอวี้ไว้ให้ดูต่างหน้า แต่ผมสิครับไม่มีอะไรเลย” ฮุ่ยเฉินเอ่ยเสียงเศร้าด้วยความอิจฉา ที่อีกฝ่ายยังมีตัวแทนไว้ให้ดูต่างหน้า
“ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ก็ให้อาอวี้เรียกคุณว่าป๊าตามเดิมก็ได้ครับ” ไม่รู้ว่าเพราะสงสารหรืออะไร จึงทำให้อาหนานพลั้งปากพูดออกไปอย่างนั้น
แต่สีหน้าที่เศร้าสร้อยอย่างนี้ ก็น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละนะ...คิดอย่างเห็นใจในตอนท้าย
“ได้จริงๆเหรอครับ ผมยินดีและขอบคุณคุณอาหนานมากๆ เลยครับ” ฮุ่ยเฉินละล่ำละลักถามออกมาด้วยความตื่นเต้นและยินดีเป็นอย่างมาก
“ครับ” อาหนานที่เห็นอีกฝ่ายยิ้มกว้างด้วยท่าทางดีใจ ก็รู้สึกดีด้วยเช่นกัน เพราะอย่างน้อยคำเรียกนี้ ก็ช่วยให้อีกฝ่ายมีความสุขขึ้นได้ จึงคิดว่าช่างเถอะ ก็แค่คำเรียกเท่านั้นเอง ทั้งตัวเองก็เคยเรียกพ่อของเพื่อนว่าพ่ออยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกว่าแปลกแต่อย่างใด
สักพัก ก็ปล่อยให้สองคนหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่เล่นกันไป ส่วนตัวเองก็มาต้อนรับลูกค้าที่เดินเข้าร้านมา หลังจากไปนำน้ำชามาเสิร์ฟให้แล้ว
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฮุ่ยเฉินก็แวะมาที่ห้องเสื้อแทบจะทุกวัน แล้วแต่ว่าว่างตอนไหน แต่ถ้าวันไหนมาไม่ได้ ก็จะวิดีโอคอลมาเพื่อดูหน้าอาอวี้แทน และด้วยเหตุนี้ ทั้งสองพ่อจึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ไปมาหาสู่กันมาหลายวัน ตอนนี้ทั้งสองพ่อก็สนิทสนมกันพอสมควร และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ฮุ่ยเฉินว่าง จึงแวะมาหาอาอวี้ ที่เขาถือว่าเป็นลูกชายของตัวเองไปแล้ว
“ปาป๊ามาแย้ววว” เด็กชายตัวน้อยวิ่งโผเข้ามาหาด้วยความดีใจ เมื่อเห็นฮุ่ยเฉินเปิดประตูเดินเข้าร้านมา
“ป๊าซื้อขนมมาฝากด้วย” ฮุ่ยเฉินบอกอย่างอารมณ์ดี ทั้งก้มตัวลงเพื่ออุ้มเด็กน้อยขึ้นสู่อ้อมอก แล้วหอมแก้มเด็กชายด้วยอีกฟอดใหญ่ ทั้งซ้ายขวาอย่างรักและคิดถึง
สักพัก คนขับรถก็หิ้วถุงขนมตามเข้ามาสองถุงใหญ่
“หนาง...หนาง ปาป๊ามาแย้ววว” ร้องบอกพ่อของตัวเอง ที่เดินออกมาจากหลังร้านด้วยความดีใจ เมื่อได้ยินและเห็นว่ามีขนมมาฝาก
“เด็กคนนี้นี่ บอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ให้เรียกหนานเฉยๆ” คนเป็นพ่อบ่นกระปอดกระแปด
แรกเริ่มเดิมที ลูกชายก็ยังเรียกเขาว่าป๊าอยู่ แต่พอฮุ่ย เฉินเริ่มมาเป็นแขกประจำที่ร้าน และได้ยินอีกฝ่ายเรียกเขาว่า อาหนาน ลูกชายตัวดีก็เรียกตาม เมื่อเห็นเขาไม่ชอบใจโมโหให้ ฮุ่ย เฉินก็หัวเราะให้เขา ที่เขาถือสาแม้กระทั่งเด็ก เจ้าตัวแสบนี่ก็เลยไม่เรียกเขาว่าป๊าอีก เพราะเห็นว่าป๊าฮุ่ยเฉินของตัวเองหัวเราะอารมณ์ดี แล้วต่อมาไม่รู้ว่าขี้เกียจหรืออย่างไร ถึงได้เรียกเขาว่าหนานเฉยๆ อาหายไป
“เอาน่า หนาน...หนาน ก็อย่าจริงจังนักเลย ใช่ไหมอวี้อวี้ หนานหนานออกจะเหมาะกับคุณ” ฮุ่ยเฉินเกลี้ยกล่อมยิ้มๆ ด้วยความชอบใจ ทั้งยังรู้สึกว่า ชื่อนี้ก็เหมาะกับหน้าตาของอีกฝ่าย ที่ค่อนไปทางสวยด้วย
“อย่างกับชื่อผู้หญิงแน่ะ” เจ้าของชื่อบ่นงึมงำคนเดียวด้วยความขัดเคืองใจ ทั้งคิดอย่างจนใจ เพราะชื่อภาษาไทยของเขาชื่อ อนันต์ พอมาให้คนที่เมืองนี้เรียก ก็กลายเป็นอาหนานไปแล้ว แล้วเจ้าแสบนี่ก็ดันมาเรียกหนานซ้ำสองครั้งอีก เลยกลายเป็นหนานหนานไปเสียอย่างนี้
“ว่าแต่ซื้ออะไรมาเยอะแยะครับ” คนขัดเคืองใจเปลี่ยนเรื่องคุย พลางมองถุงที่คนขับรถ ถือเข้ามาวางไว้ยังโต๊ะกระจกตัวเล็กหน้าโซฟารับแขก
“ขนมน่ะครับ” คนถูกถามตอบ พลางอุ้มลูกชายมาดูขนมที่ตัวเองซื้อมาด้วย
ส่วนเด็กน้อย เมื่อเห็นว่ามีขนมหน้าตาน่ากินเยอะแยะ ก็ดิ้นลงจากตัวของฮุ่ยเฉิน มารื้อถุงขนมด้วยความตื่นเต้นดีใจ ทั้งทำตาโตและร้องออกมาด้วยความชอบใจ “ว้าววว...ของ อาอวี้”
“ครับ ของอาอวี้หมดเลย” ฮุ่ยเฉินย้ำทั้งยิ้มกว้างอย่างเอ็นดู
“แต่ให้กินวันละสองห่อพอ เดี๋ยวไม่กินข้าว” อาหนานบอกลูกชาย ทั้งยังเก็บขนมทั้งหมดที่รื้อออกมาใส่ถุงกลับคืน โดยเหลือไว้ให้แค่ห่อเดียว
ส่วนลูกชาย เมื่อเห็นการกระทำและคำพูดของพ่อตัวเอง ก็หน้างอง้ำไปทันทีด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันไปหาฮุ่ยเฉินเพื่อออดอ้อน
“...” ใครพ่อมันกันแน่วะ อาหนานคิดอย่างมันเขี้ยวลูกชาย
“เชื่อฟังป๊าอาหนานเขานะครับ” ฮุ่ยเฉินบอกเด็กน้อย ทั้งยกมือขึ้นมาลูบหัวปลอบใจลูกชายด้วย
“ค้าบ” พยักหน้าเชื่อฟังอย่างเศร้าสร้อย
“...” ไอ้ลูกอกตัญญู! อาหนานกัดฟันว่าให้ลูกชายในใจด้วยความหมั่นไส้
ส่วนฮุ่ยเฉินก็ได้แต่หัวเราะในลำคอ ด้วยความขำสองพ่อลูกคู่นี้ พูดคุยกันสักพัก ลูกค้าก็เดินเข้าร้านมา อาหนานจึงปล่อยอาอวี้ไว้กับอีกฝ่าย แล้วผละไปทำงานตามหน้าที่ของตัวเอง
“ป๊า กิงหนม” อาอวี้ชี้ไปยังถุงขนมที่อาหนานวางทิ้งไว้
“ห่อเดียวนะครับ”
“ค้าบ” รับคำอย่างเชื่อฟัง แล้วเดินไปเลือกขนมที่ตัวเองอยากกินมาให้คนเป็นป๊าแกะให้
“อ๊าาา อาหย่อยยย” เด็กน้อยเมื่อได้กินขนมอย่างที่ต้องการแล้ว ก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความพออกพอใจ และเสียงร้องพอใจนี้ ก็ทำให้ฮุ่ยเฉินถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความขำขันเอ็นดู
“อร่อยขนาดนั้นเชียว” ถามเด็กน้อยที่ส่ายหัว ส่ายตัวไปมาด้วยความพอใจ
“ป๊ากิงดู” พลางยื่นขนมใส่ปากให้ฮุ่ยเฉินได้กินด้วย
“อืม...อร่อยจริงๆ ด้วย” ทำตาโตเลียนแบบเด็กน้อย
“ค้าบ...อาหย่อยม้ากกกมาก” พูดทั้งที่ขนมเต็มปาก
สักพักขนมห่อนี้ก็หมด จึงหันมองหน้าฮุ่ยเฉินตาละห้อยอย่างต้องการอ้อนขออีก “เอาอีกค้าบ”
“ถ้ากินอีกจะกินข้าวไม่ได้นะครับ” คนถูกอ้อนให้เหตุผล
“อาอวี้ หิว ค้าบ” พูดไปก็ลูบท้องน้อยๆ ของตัวเองไปด้วยอย่างน่าสงสาร
เมื่อเด็กน้อยพูดจบ ฮุ่ยเฉินก็ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา สิบโมงครึ่งแล้ว ถึงเวลากินข้าวของอาอวี้แล้ว แต่อาหนานยังทำงานไม่เสร็จเลย จึงตัดสินใจแกะขนมให้อีกห่อ ซึ่งเด็กน้อยก็รับไปกินด้วยความดีใจ
เห็นลูกชายกินข้าวไม่ตรงเวลาอย่างนี้ ฮุ่ยเฉินก็รู้สึกปวดใจนัก คิดแล้วก็อยากจะเอาเด็กไปเลี้ยงดูเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องลำบากอย่างนี้
หลังท้องอิ่ม เล่นไปสักพักอาอวี้ก็หลับไปทั้งอย่างนั้น กับกองของเล่นของตัวเอง ส่วนอาหนานเมื่อบริการลูกค้าเสร็จแล้ว ก็กลับมาหาทั้งสองคน แล้วก็เห็นว่า ลูกชายของตัวน้อยนอนอยู่กับกองของเล่น โดยมีเสื้อของฮุ่ยเฉินคลุมอยู่
“หลับซะแล้ว” คนเป็นพ่อเอ่ยขึ้นด้วยความจนใจ ทั้งอุ้มลูกชายไปนอนเปล ที่อยู่หลังฉากกั้นลองชุดใกล้กับประตูทางเข้าออกหลังร้าน ซึ่งฮุ่ยเฉินก็ได้ตามเข้ามาดูด้วย
ด้านในของฉากกั้น มีเปลเด็กวางไว้อันหนึ่ง อาหนานที่อุ้มอาอวี้อยู่ก็ได้วางอาอวี้ลงที่เปลนี้ ก่อนจะจัดแจงห่มผ้าให้ลูกชายแล้วหมุนตัวออกมา
“จะเที่ยงแล้ว คุณฮุ่ยอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะครับ” อาหนานเอ่ยชวนอย่างต้องการตอบแทนน้ำใจของอีกฝ่าย
“รบกวนคุณหรือเปล่าครับ” คนถูกชวนถามกลับด้วยความเกรงใจ เพราะกลัวว่าจะยุ่งยาก
“ไม่หรอกครับ”
“งั้นก็รบกวนคุณด้วยนะครับ”
“ครับ รอสักครู่นะครับ คุณฮุ่ยไปนั่งรอตรงโซฟาโน้นก่อนก็ได้ เสร็จแล้วเดี๋ยวผมเรียก” ชี้ไปยังโซฟารับแขกหน้าร้าน
“ครับ” ตอบรับจบ ก็เดินไปนั่งรอที่โซฟารับแขกด้านหน้า
ไม่นาน อาหนานก็เดินเข้ามาเรียก
“เสร็จแล้วครับ คุณฮุ่ยมากินข้าวกันเถอะ”
“ครับ” ตอบรับและเดินตามเข้าไปหลังร้าน
ด้านหลังของร้าน แม้จะไม่กว้างสักเท่าไหร่ แต่ข้าวของที่จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ก็ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้คับแคบมากนัก มีโต๊ะกินข้าวแบบสี่เหลี่ยมตัวหนึ่ง เก้าอี้สามตัววางอยู่ตรงหน้าประตู ถัดไปก็เป็นครัวขนาดกะทัดรัด แล้วก็เป็นบันไดขึ้นไปยังชั้นสองของร้าน
“รกสักหน่อยนะครับ” ผู้ดูแลร้านเอ่ย เมื่อเห็นอีกคนมองสำรวจ
“ครับ แล้วคุณสองคนพักตรงไหนครับ”
“ชั้นสองนะครับ แต่ก่อนเครื่องครัวพวกนี้ก็ทำตรงชั้นสองละครับ แต่พอแม่ของอาอวี้จากไป ผมต้องดูแลทั้งลูกและร้านเลยต้องปรับเปลี่ยนน่ะครับ ยังดีที่คุณถงผู้เฒ่าท่านใจดี ยอมให้ผมปรับเปลี่ยน” อธิบายให้ฟัง ทั้งตักข้าวยื่นให้ฮุ่ยเฉินด้วย
“อ้อ ขอบคุณครับ” ตอบรับอย่างเข้าใจ ทั้งขอบคุณ เมื่อยื่นมือรับถ้วยข้าวที่อีกฝ่ายตักให้
“รีบกินเถอะครับ รสชาติอาจจะไม่อร่อยเท่าไหร่ ต้องขอโทษด้วยนะครับ” อาหนานออกตัวไว้ก่อน เพราะกลัวว่าอาหารที่ตัวเองทำ จะไม่ถูกปากอีกฝ่าย
“ผมไม่เรื่องมากหรอกครับ” พูดจบ ก็คีบกับข้าวง่ายๆ ที่อาหนานทำมากิน มะเขือเทศผัดไข่ ไก่เส้นผัดหน่อไม้ น้ำซุปปลาอีกหนึ่งชาม
“ก็พอใช้ได้นะครับ คุณทำกับข้าวเร็วมาก” ฮุ่ยเฉินเอ่ยชม เพราะใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีก็เสร็จแล้ว
“กับข้าวง่ายๆ ทั้งนั้น ที่เร็วก็เพราะเตรียมไว้แล้วน่ะครับ ผมต้องรีบทำก่อนที่อาอวี้จะตื่น” พูดจบ ก็คีบกับข้าวขึ้นมากินอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กินข้าวหมดถ้วย
“ขอโทษด้วยนะครับ ผมกินแบบรีบๆ จนติดเป็นนิสัยเสียแล้ว ขายหน้าคุณแย่เลย” อาหนานบอกอย่างอายๆ ที่ตัวเองกินมูมมามและเร่งรีบ เพราะตัวเขามีเวลาจำกัด ไม่รู้ว่าลูกจะตื่นตอนไหน ลูกค้าจะเข้าร้านมาเมื่อไหร่
“ครับ” ตอบอย่างเข้าใจ ไม่นานข้าวก็หมดถ้วย จึงได้วางตะเกียบตาม
แล้วเสียงของอาอวี้ก็ดังมาจากหน้าร้าน อาหนานจึงต้องรีบออกไปดู ส่วนฮุ่ยเฉินก็นั่งรออยู่อย่างนั้น สักพัก อีกฝ่ายก็อุ้มลูกชายกลับเข้ามา เมื่อเห็นว่าฮุ่ยเฉินกินเสร็จแล้ว จึงยื่นอาอวี้ให้อีกคนดูแล ส่วนตัวเองก็เก็บชามไปล้าง แล้วทำข้าวผัดไข่ให้ลูกชายด้วย
ฝ่ายฮุ่ยเฉินที่ยืนมองอยู่ ก็เกิดความรู้สึกนับถือชายหนุ่มตรงหน้าขึ้นมา เพราะตั้งแต่ที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในร้าน ผู้ชายคนนี้ก็แทบไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆเลยสักที ไหนจะต้องวิ่งต้อนรับลูกค้า ไหนจะต้องดูแลลูก ตัวเท่านี้ เท่าไหล่ของเขาที่สูงร้อยแปดสิบเจ็ดเซนติเมตร อายุก็ยังน้อย ต้องมารับผิดชอบมากมายขนาดนี้อีก ช่างน่าเห็นใจจริงๆจึงเผลอถามเสียงเบาออกมาด้วยความลืมตัว “เหนื่อยไหมครับ”
