บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 ลานฝึกที่ยอดเยี่ยมและคนจากหมู่บ้านซานอี๋

ทางด้านมู่ถงที่ออกจากจวนตามหลังบุตรสาว ก็ได้ติดต่อนายช่างโจวซุ่นที่ชาวบ้านแนะนำกับเขา และพาไปดูร้านค้าพร้อมบอกรายละเอียด ที่ตนกับบุตรสาวต้องการให้นายช่างโจวปรับปรุง หรือเพิ่มเติมในส่วนที่ได้หารือกันเอาไว้ ซึ่งนายช่างโจวพอจะเห็นภาพตามที่มู่ถงได้บอกเล่าให้ฟัง เนื่องจากนายช่างโจวเองก็มีประสบการณ์สร้างร้านค้าผ้ามาไม่น้อย

เมื่อพูดคุยและทำสัญญาการปรับปรุงร้าน นายช่างโจวขอเวลาสิบห้าวันเท่านั้น ที่เขาใช้เวลาไม่นานเป็นเพราะมีลูกน้องจำนวนมาก แต่ละคนยังมีฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากัน

ซูอันกับเยี่ยนหลิงกลับมาถึงจวน ก็ไม่ลืมบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านซานอี๋ให้บิดามารดาได้รับรู้ และยังบอกอีกว่าหมู่บ้านแห่งนี้ คือลูกจ้างที่ตกลงทำสัญญาทำงานกับพวกตน

“ลูกสาวของพ่อทั้งสองคนช่างจำนรรจาเกลี้ยกล่อมผู้คนเสียจริง แต่เป็นเรื่องที่ดีถ้ามีคนงานที่ชำนาญด้านต่าง ๆ หลายคน อย่างน้อยสินค้าที่ต้องนำไปวางขาย ย่อมไม่เกิดปัญหาขาดแคลนจนถูกลูกค้าตำหนิได้”

“ท่านพ่อวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับอันเอ๋อร์ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่ เพราะคนในหมู่บ้านซานอี๋ทำงานเกี่ยวกับผ้าไหมได้งดงาม หรืออาจเทียบเท่ากับพวกเรายามที่อยู่เมืองถู่หลานเลยนะเจ้าคะ”

จือเหมยแอบตกใจเรื่องที่ซูอันไปสั่งสอนกู้ต้าหลาง “อันเอ๋อร์ถึงลูกจะต่อสู้เก่งเพียงใดแต่อย่างไรเสียก็เป็นสตรี หากคุณชายกู้ผู้นั้นกลับมาเอาเรื่องเจ้า คงเกิดความวุ่นวายไม่รู้จบนะลูก”

ซูอันไม่อยากให้มารดาต้องกังวลใจ จึงได้พูดจาปลอบใจมารดา “ท่านแม่เจ้าคุณชายหน้าอ่อนนั่นกับบรรดาลูกน้อง คงใช้เวลารักษาตัวอีกหลายเดือน ถ้าคนตระกูลกู้คิดจะมาเอาคืนข้าละก็ ถึงตอนนั้นจวนของเราก็มียอดฝีมือคอยคุ้มครองความปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ”

ทั้งมู่ถงและจือเหมยมีสีหน้างุนงงกับคำพูดของซูอัน พอเห็นท่าทางแปลกใจของบิดามารดา ซูอันจึงต้องอธิบายเพิ่มเติม “พวกท่านทำใจให้สบายเถิด อีกไม่กี่วันคนที่จะมาเป็นผู้คุ้มครองพวกเราก็จะมาทำสัญญาแล้ว จากนั้นจะเริ่มฝึกฝนวิชาการต่อสู้อย่างจริงจังทันทีเจ้าค่ะ”

“แต่พี่เชื่อว่าอันเอ๋อร์ของพวกเรา มีความสามารถเหนือบุรุษทั้งฉลาดและต่อสู้เก่งเช่นนี้ หากใครกล้ามารังแกคงโง่เต็มทีแล้วล่ะ” เยี่ยนหลิงเอ่ยชมน้องสาวอย่างออกนอกหน้า เป็นเพราะนางเห็นด้วยตาตนเอง ว่าซูอันเก่งกาจด้านการต่อสู้มากจริง ๆ บุรุษที่ว่าตัวใหญ่กว่า ยังไม่อาจแตะได้แม้ปลายชายผ้าของซูอัน

“ถ้ามีอะไรให้พ่อกับแม่ช่วย อย่าลังเลที่จะเอ่ยมันกับพวกเรานะอันเอ๋อร์” มู่ถงไม่มีทางปล่อยให้บุตรสาวลำบากอยู่เพียงผู้เดียวแน่นอน

“ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ”

เมื่อได้บอกเล่าสิ่งที่ได้ลงมือทำกับบิดามารดาแล้ว ซูอันจึงกลับมานั่งคิดเรื่องการเตรียมสนามฝึกซ้อม ที่นางจะใช้ฝึกหน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่ง ซึ่งพวกเขาจะมาพบนางที่จวนในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้

ขณะที่กำลังคิดเรื่องสนามฝึกอยู่เงียบ ๆ เสียงของจีจี้ก็ดังขึ้นในหัวของซูอัน [นายหญิงมีเรื่องลำบากใจอันใดหรือไม่เจ้าคะ เหตุใดถึงได้มีสีหน้าเคร่งเครียดประหนึ่งคนคิดไม่ตกเช่นนั้น]

“เฮ้อ จีจี้ข้ากำลังคิดว่าจะหาอุปกรณ์ในการฝึกหน่วยคุ้มกันของข้าได้อย่างไรน่ะสิ มัวแต่คิดว่าจะสร้างกองกำลังของตน จนลืมนึกถึงเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปเสียได้ ข้าจะไปหาอุปกรณ์เหล่านั้นได้จากที่ใดกัน” ซูอันกึ่งบ่นกึ่งตำหนิตนเองให้กับจีจี้ได้ฟัง

[โอ๊ะ! นายหญิงเจ้าคะ คือว่าข้าต้องขออภัยท่านจริง ๆ ที่ลืมบอกเรื่องสำคัญอีกหนึ่งอย่างกับท่านไป]

ซูอันทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มิได้คิดว่าเรื่องสำคัญที่จีจี้พูดถึงจะเป็นสิ่งที่นางต้องการใช้มัน “หือ เจ้าลืมบอกอันใดกับข้าอีกงั้นหรือจีจี้ ตอนนี้จะเรื่องอันใดสำคัญเท่ากับอุปกรณ์ที่ข้าต้องการอีกเล่า”

[ก็สิ่งที่นายหญิงต้องการนั้นคือเรื่องที่ข้าลืมบอกกับท่านอย่างไรล่ะเจ้าคะ ในมิติของจี้หยกนอกจากโรงงานทั้งสองแล้ว ด้านหลังยังมีสนามฝึกซ้อมที่นายหญิงใช้ฝึกการต่อสู้เป็นประจำ สิ่งที่นายหญิงให้ความสำคัญและใช้บ่อย ๆ ข้าล้วนนำพวกมันมาทั้งหมดเจ้าค่ะ แหะ ๆ ๆ]

พอได้ยินคำสารภาพของจี้หยก ซูอันถึงกับเรียกชื่อที่นางตั้งให้จนลั่นเรือน “จีจี้!! เจ้าลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร ปล่อยให้ข้าคิดจนสมองเหนื่อยล้าอยู่ตั้งนาน หากเป็นลูกน้องที่ทำการหละหลวมละก็ เจ้าต้องถูกลงโทษสถานหนักไปแล้ว ฮึ่ย!”

[นายหญิงคนงามของจีจี้อย่าโมโหเลยนะเจ้าคะ เดี๋ยวลูกน้องผู้เก่งกาจอย่างจีจี้ จะช่วยจัดการเรื่องสนามฝึกหน่วยคุ้มกันให้เอง จีจี้จะยกอุปกรณ์มาให้ครบไม่มีขาดแม้แต่ชิ้นเดียวเจ้าค่ะ]

ซูอันนึกภาพสนามฝึกที่มีอุปกรณ์เสริมสร้างความแข็งแรง ก็แอบยกยิ้มมุมปากเบา ๆ ในเมื่อจีจี้นำมันมาให้นางได้ เช่นนั้นตัวของนางก็ควรเริ่มฟื้นฟูร่างกายเสียก่อน “ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้เจ้าก็แล้วกันนะจีจี้ หวังว่าจะไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปด้านหลังเรือน และใช้พื้นที่ว่างตรงนั้นทำเป็นสนามฝึก หากอุปกรณ์ไม่ครบอย่างที่พูดล่ะก็ ข้าจะให้เจ้าแช่อยู่ในน้ำห้าวันห้าคืนเลยคอยดูสิ หึ”

[หา! อย่า ๆ ๆ นายหญิงอย่าทำกับจีจี้เช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ จีจี้จะจัดการไม่ให้ขาดตกบกพร่องแน่นอนเจ้าค่ะ]

“อืม ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปด้านหลังเรือน จะได้เริ่มสร้างสนามฝึกการต่อสู้ให้เรียบร้อย” ซูอันอยากฟื้นฟูกล้ามเนื้อของร่างนี้ เพื่อให้กลับมาแข็งแรงเหมาะกับสตรีวัยสิบสี่หนาวเสียที

[รับทราบเจ้าค่ะนายหญิง]

เมื่อซูอันมาถึงด้านหลังของจวน จากพื้นที่รกเรื้อก็ถูกจีจี้ทำให้กลายเป็นพื้นที่เปิดโล่งกว้าง ตามมาด้วยลานทรายสำหรับฝึกซ้อมต่อสู้ ลานหญ้าสำหรับฝึกการคลื่อนไหว อีกมุมหนึ่งจัดเป็นสนามยิงธนูและอาวุธ มีทั้งดาบ ทวน ธนู มีดสั้นถูกจัดวางเรียงรายอยู่ในโรงเก็บขนาดเล็ก และอย่างสุดท้ายที่ซูอันต้องการมากที่สุด คือโรงยิมส่วนตัวขนาดกลางที่เคยตั้งอยู่ในคฤหาสน์หลังโต พร้อมอุปกรณ์เสริมสร้างกล้ามเนื้อครบครัน มันถูกจีจี้โยกย้ายมาวางไว้ให้นางได้จริง ๆ

หึ มาเฟียสาวอย่างนางจะกลับมาผงาดอีกครั้ง แม้ในโลกใบใหม่แห่งนี้ จะให้ความสำคัญกับบุรุษมากกว่าสตรีก็ตาม แต่นางจะเป็นคนแรกที่ก้าวข้ามเรื่องนี้ให้ทุกคนได้เห็นเอง

“เฮ้อ ขอบใจมากจีจี้ที่ช่วยให้ข้าคลายกังวลไปได้ จากนี้แค่รอให้หน่วยคุ้มกันรุ่นที่หนึ่งมาพบเท่านั้น รวมถึงการทำสัญญากับชาวบ้าน”

[จีจี้ยินดีช่วยเหลือให้นายหญิงเจ้าค่ะ ไม่มีเรื่องไหนที่จีจี้ผู้เก่งกาจจะทำเพื่อท่านไม่ได้ ยกเว้นเรื่องว่าที่สามีของท่านที่ต้องหาเองนะเจ้าคะ]

พอได้ยินเรื่องว่าที่สามีซูอันได้แต่กลอกตามองบน นางยังไม่มีเรื่องนี้ในหัวและมันยังเป็นเรื่องที่ไกลตัว ถ้ามีบุรุษที่เคยผูกวาสนาด้ายแดงต่อกันไว้ สักวันหนึ่งคงได้พบเจอกันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในยามนี้ คือการสร้างกิจการของครอบครัว รวมถึงการสร้างอำนาจด้านการค้านี่เป็นเรื่องที่ต้องลงมือทำอย่างเร่งด่วน

หลังจากได้สนามฝึกจากจีจี้ วันต่อมาในยามเหม่าซูอันจะตื่นมาวิ่งเบา ๆ ตามด้วยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย จวบจนเวลาผ่านเข้าสู่วันที่ห้าในปลายยามเฉิน ขณะที่ซูอันกำลังช่วยครอบครัวของนาง เตรียมโต๊ะปักผ้าขนาดต่าง ๆ อยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูจวนดังขึ้นพร้อมเสียงเรียกชื่อของนาง

เลี่ยงหยางหัวหน้าหมู่บ้านซานอี๋และชาวบ้านคนอื่นอีกห้าคน ได้รับหน้าที่เป็นตัวแทนในการทำสัญญา เรื่องการทำงานทอผ้าให้กับซูอัน เขามาพร้อมกับกลุ่มบุรุษวัยหนุ่มอย่างพวกอวี้เหลียน

ตึง ๆ ๆ “คุณหนูเล็ก ๆ อยู่หรือไม่ขอรับ”

ซูอันให้ครอบครัวของตนเตรียมอุปกรณ์ต่อไป ส่วนนางเร่งเดินมาเปิดประตูรับแขกผู้มาเยือน ซึ่งนางไม่คิดว่าพวกเขาจะมาตามเวลาที่นางเคยบอกไว้ “อ้าว เป็นพวกท่านเองหรอกหรือ เชิญเข้าไปด้านในก่อนเถิด แล้วค่อยพูดคุยเรื่องการทำงานของทุกคนกัน”

“ขอบคุณคุณหนูขอรับ”

ซูอันเดินนำแขกจากหมู่บ้านซานอี๋ เข้ามาพบบิดามารดาในห้องโถง “ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะข้าขอแนะนำให้ท่านรู้จัก ท่านลุงเลี่ยงหยางเป็นหัวหน้าหมู่บ้านซานอี๋ที่จะมาทำงานกับเรา ส่วนทางด้านพี่ชายทั้งสิบคนนี้คือหน่วยคุ้มกันที่จะทำการฝึกฝนกับข้า ตอนนี้มีทั้งหมดสิบคนเจ้าค่ะ และสองท่านนี้คือท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าเอง”

“คารวะนายท่านจินและจินฮูหยินขอรับ!”

มู่ถงกับจือเหมยไม่เคยถูกใครเรียกเช่นนี้ ทำให้รู้สึกแปลก ๆ พิกล “ยินดีที่ได้พบทุกท่าน อย่าเรียกข้าว่านายท่านเลยนะพี่ชายเลี่ยงหยาง ข้าก็เป็นชาวบ้านธรรมดาเหมือนพวกท่านเช่นกัน”

แต่เลี่ยงหยางไม่เห็นด้วยกับมู่ถง “นายท่านจินอย่าได้พูดเช่นนั้น ให้พวกข้าเรียกนายท่านนั้นถูกต้องแล้ว เนื่องจากยามนี้ครอบครัวของท่านเป็นนายจ้าง ย่อมมีฐานะที่แตกต่างกันขอรับ”

อวี้เหลียนก็คิดเช่นเดียวกับหัวหน้าหมู่บ้าน “นายท่านจินอย่าได้ห้ามพวกข้าเลยขอรับ ถึงอย่างไรคำเรียกนี้ย่อมมีคนอีกมาก ที่จะเรียกท่านในอนาคตเมื่อท่านเริ่มทำการค้านะขอรับ อนุญาตให้พวกข้าเรียกไว้แต่เนิ่น ๆ ดีกว่าขอรับนายท่านจิน”

เยี่ยนหลิงเข้าใจว่าบิดาเคยชินกับคำเรียกขาน แต่ตอนนี้สถานการณ์มิได้เป็นเช่นแต่ก่อนอีกแล้ว “ท่านพ่อเจ้าคะที่ท่านลุงเลี่ยงหยางกับอวี้เหลียนพูดมาก็ถูกนะเจ้าคะ ท่านพ่อต้องทำตัวให้ชินกับคำเรียกนี้ ต่อไปท่านจะกลายเป็นพ่อค้าเต็มตัว คำเรียกขานของนายจ้างกับลูกจ้าง ย่อมแบ่งเส้นเอาไว้ให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ท่านพ่อก็เห็นตัวอย่างจากคนพวกนั้นมาก่อนนี่เจ้าคะ”

มู่ถงคิดทบทวนก็พยักหน้าช้า ๆ เพราะเขาเคยชินจนลืมไปว่า หากมิถูกบิดากดขี่ใช้งาน อย่างน้อยเขาก็เป็นคุณชายคนที่สามของตระกูล “อืม เอาเถิดพวกท่านเรียกข้าเช่นนั้นก็ดี จะได้ไม่เกิดปัญหาเช่นที่บุตรสาวข้าพูด วันนี้พวกท่านคงมาเรื่องสัญญาการจ้างงานสินะ”

“ใช่ขอรับ ตอนนี้ข้าให้ทุกคนหยุดงานไว้ก่อน เพื่อมาพูดคุยกับนายท่านจินและคุณหนู เผื่อพวกท่านมีลายผ้าที่ต้องการข้าจะได้นำไปให้ชาวบ้านได้ดู ก่อนจะลงมือทอผ้ามาส่งให้พวกท่านขอรับ” ลี่หยางให้ชาวบ้านหยุดงานทอผ้าไว้ เขาอยากรู้ว่าซูอันมีลายผ้าที่อยากได้หรือไม่

มู่ถงหันไปมองบุตรสาวคนเล็กอย่างซูอัน เพื่อให้นางเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ “อันเอ๋อร์ว่าอย่างไร เจ้ามีลายผ้าที่อยากให้หัวหน้าลี่หยาง กับชาวบ้านคนอื่น ๆ ทอมาส่งในครั้งแรกหรือไม่เล่า”

แน่นอนว่าซูอันย่อมมีลวดลายสำหรับการทอผ้าที่ต้องการ แต่ในขั้นแรกนางอยากให้ชาวบ้านทอผ้าสีพื้นไร้ลวดลายแต่ประณีตเสียก่อน “เรื่องลวดลายข้าย่อมมีอยู่ในใจเจ้าค่ะท่านพ่อ แต่ในสามเดือนนี้ข้าต้องการผ้าไหมสีพื้นไร้ลวดลายก่อน เพื่อนำมาใช้ปักเป็นรูปดอกไม้และสัตว์มงคล เพื่อเป็นการเริ่มต้นให้ผู้คนในเมืองผู่เถียน ได้รู้จักร้านผ้าไหมตระกูลจินของเราเจ้าค่ะ ท่านลุงเลี่ยงหยางนี่เป็นสัญญาการทำงาน รวมถึงค่าตอบแทนในระดับต่าง ๆ ของการทอผ้า ท่านลองอ่านและพิจารณากับท่านอา

ที่มาด้วยกัน หากมีตรงจุดไหนอยากให้แก้ไขก็บอกข้าได้ พวกเราจะได้ปรับเปลี่ยนเนื้อหาในสัญญาให้ตรงกัน”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel