บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 ครอบครัวเล็ก ๆ เป็นอิสระ 1/2

ซูอันทำสีหน้าจริงจังเข้าสู้ เพื่อให้ทั้งสามคนเชื่อในสิ่งที่นางเล่าออกมา และเพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ซูอันจึงจะพาครอบครัวไปดูกิจการ ที่พวกเขาจะสร้างมันในอนาคตอันใกล้นี้

“ใช่เจ้าค่ะ ที่สำคัญที่สุดนะเจ้าคะ ข้ายังได้ของวิเศษมาด้วยล่ะ พวกท่านหลับตาให้สนิทก่อน ประเดี๋ยวข้าจะพาไปดูของวิเศษเจ้าค่ะ”

สามคนที่ยังอึ้งกับเรื่องที่ซูอันเล่าออกมา ไม่รู้ว่าจะหาคำใดมาแย้งได้แต่ทำตามที่นางขอ พวกเขาหลับตาลงและได้ยินเสียงของซูอัน เรียกชื่อใครบางคนออกมา “จีจี้” แต่เพียงประเดี๋ยวเดียวกลับสัมผัสถึงอากาศที่ดูแปลกไปจากเดิม เยี่ยนหลิงเอ่ยถามน้องสาวเพราะนางอยากลืมตาเสียที

“อันเอ๋อร์พี่กับท่านพ่อท่านแม่ลืมตาได้หรือยังเล่า ทำไมรอบ ๆ ตัว จู่ ๆ ก็มีเสียงแปลก ๆ ดังไม่หยุดเช่นนี้”

“พวกท่านลืมตาได้เจ้าค่ะ”

..!?.. “นะ นะ นี่พวกเราอยู่ที่ใดกันอันเอ๋อร์ มิใช่ว่าก่อนหน้ายังอยู่ในห้องพักของโรงเตี๊ยม แล้วที่เห็นนี่มันคืออันใดกันแน่” มู่ถงละล่ำละลักถามเอาความกับบุตรสาวคนเล็ก

“ยินดีต้อนรับพวกท่านเข้าสู่มิติของวิเศษเจ้าค่ะ ส่วนอาคารแปลก ๆ ทั้งสองที่พวกท่านเห็นอยู่นั้น มันคือโรงทอผ้าและโรงปักผ้า จากนี้ไปข้าจะไม่ยอมให้พวกท่านต้องลำบากอีกแล้ว”

เสียงเครื่องมือกลไกที่ประสานกันเป็นจังหวะเบา ๆ ทั้งสามคนไม่อยากเชื่อสายตาว่า ที่ตนเองยืนอยู่ในขณะนี้คือพื้นที่กว้างใหญ่ ประหนึ่งหลุดเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง

โรงงานทอผ้าที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า เป็นอาคารใหญ่ที่สร้างจากวัสดุในโลกอนาคต มันดูมั่นคงและสง่างาม เสียงเครื่องทอผ้าและเครื่องปักผ้ายังคงดังเป็นจังหวะอย่างต่อเนื่อง

“โอ้ สวรรค์! ขอบคุณพวกท่านที่เมตตาอันเอ๋อร์ของข้า ที่แห่งนั้นคงทำให้อันเอ๋อร์ได้เรียนรู้สิ่งที่มีประโยชน์มากมายสินะ” มู่ถงถึงกับคุกเข่าโขกศีรษะลงกับพื้น เพื่อขอบคุณเทพเซียนบนสวรรค์

เยี่ยนหลิงที่คิดกลัวว่าครอบครัวของนาง จะต้องเริ่มต้นใหม่อย่างยากลำบาก ยังอดรู้สึกตื่นเต้นกับความอัศจรรย์ตรงหน้าไม่ได้ “อันเอ๋อร์หากมีโรงงานทั้งสองนี้ของเจ้า การค้าที่ครอบครัวเราอยากทำคงง่ายขึ้นมาก ใช่ไหมน้องพี่”

ซูอันโล่งใจที่พี่สาวมองถึงสิ่งที่นางอยากทำได้ทันที “ใช่แล้วพี่หญิง แต่หากพวกท่านอยากปักผ้าเองก็ยังทำได้เหมือนเดิม เพื่อเลี่ยงปัญหาที่คนอื่นอาจเกิดความสงสัย ส่วนเรื่องค่าเดินทางพวกท่านไม่ต้องกังวล เพราะในตู้เหล็กใบนี้เป็นของมีค่า ที่ติดตัวข้ากลับมาด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”

“หืม แล้วอันเอ๋อร์เก็บสิ่งใดไว้ในนั้นหรือลูก” จือเหมยถามบุตรสาว

ซูอันมิได้ตอบมารดาแต่นางหันไปกดรหัส ซึ่งใช้ล็อคตู้เซฟขนาดใหญ่นี้เอาไว้แทน ตี๊ด! ตี๊ด! ตี๊ด! ตี๊ด! ตี๊ด! ตี๊ด! กึก

“ทองคำ!!!”

“เป็นอย่างไรเจ้าคะ ต่อไปไม่ว่าพวกท่านอยากกินอะไร อยากซื้อเครื่องประดับที่งดงามก็ซื้อได้แล้วนะ ครอบครัวของพวกเราจะต้องร่ำรวย และยิ่งใหญ่ไม่แพ้ตระกูลอื่น ๆ ด้านการค้าผ้าที่มีลวดลายงดงามไม่เหมือนผู้ใดเจ้าค่ะ”

มู่ถงมองบุตรสาวคนเล็กด้วยน้ำตาคลอเบ้า หากตนเองเข้มแข็งไม่รีรอและคาดหวังกับผู้เป็นบิดา ทั้งฮูหยินและบุตรสาวทั้งสอง คงใช้ชีวิตที่มีความสุขไปนานแล้ว “อันเอ๋อร์ลำบากเจ้าแล้วล่ะนะ พ่อขอโทษพวกเจ้าที่ก่อนหน้ามัวให้ความหวังกับบิดาไร้หัวใจเช่นนั้น ทำให้พวกเจ้าสามคนพลอยลำบากไปด้วย”

“ท่านพี่..”

ซูอันไม่อยากให้ทุกคนกลับไปคิดถึงเรื่องเดิม ๆ จึงได้พูดปลอบใจบิดาที่กล่าวโทษตนเอง “ท่านพ่อเจ้าคะคนเราเกิดมาย่อมทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น ในเมื่อเรื่องมันผ่านไปแล้ว ท่านเองก็อย่าเก็บมันมาใส่ใจอีกเลย แม้แต่ผู้ปกครองแคว้นก็อาจทำผิดพลาดได้ ดังนั้นยามนี้พวกเราควรมองไปข้างหน้า ใช้ความสามารถที่มีสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ ต่อไปจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกันเสียทีนะเจ้าคะ”

“ท่านพ่ออันเอ๋อร์พูดถูกแล้วเจ้าค่ะ พวกเราไม่เคยคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะท่านเลยสักครั้งนะเจ้าคะ ดังนั้นท่านพ่ออย่าได้กล่าวโทษตนเองอีกเลย” เยี่ยนหลิงสนับสนุนคำพูดของน้องสาว เพราะนางก็คิดคล้าย ๆ กับซูอันเช่นกัน

“ได้! พ่อจะไม่ให้เรื่องในอดีตมาทำร้ายความรู้สึกของพวกเราอีก อันเอ๋อร์พ่อว่าเรากลับออกไปกันเถิด จะได้พักผ่อนให้มีแรงเสียก่อน พรุ่งนี้เช้าพ่อจะไปที่ศาลาว่าการเพื่อเปลี่ยนชื่อแซ่ของเราเสียใหม่ ว่าแต่พวกลูกสองคนอยากใช้แซ่อันใดกันบ้างเล่า”

เยี่ยนหลิงไม่มีความเห็นในเรื่องนี้ จึงโยนให้ซูอันเป็นคนตอบบิดาแทน “ข้าใช้แซ่อันใดก็ได้เจ้าค่ะแล้วแต่ท่านพ่อจะจัดการ อันเอ๋อร์เล่า มีแซ่ที่เจ้าชอบบ้างหรือไม่”

ซูอันใช้ความคิดเล็กน้อยจากนั้นจึงบอกกับบิดาว่า “ท่านพ่อข้าอยากเปลี่ยนไปใช้แซ่ ‘จิน’ เจ้าค่ะ จินที่แปลว่าทองคำ เพราะในอนาคตอันใกล้พวกเราจะมีเงินทองเพิ่มพูนอีกมาก”

“อืม เช่นนั้นพวกเราเปลี่ยนจากแซ่หลิว ไปเป็นแซ่จินตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปก็แล้วกัน” มู่ถงเห็นดีเห็นงามตามที่ซูอันเสนอมา

“เอาล่ะ ข้าจะพาพวกท่านกลับออกไปพักผ่อนนะเจ้าคะ ยามแสงของดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า นั่นถือเป็นฤกษ์ดีกับการเดินทางครั้งใหม่ของครอบครัวเราเจ้าค่ะ”

แน่นอนว่าทั้งสามคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ กันย่อมยิ้มแย้มอย่างมีความสุข หลังจากซูอันพูดจบนางจึงพาครอบครัวออกจากมิติ และแยกย้ายกลับห้องไปพักผ่อน ซึ่งทั้งสี่คนพอหัวถึงหมอนก็หลับไป ด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาเป็นเวลานานหลายปี

ส่วนมู่ถงได้ทำอย่างที่บอกกับบุตรสาวไว้ เมื่อเช้าวันใหม่มาถึงเขาไปยังศาลาว่าการเมืองถู่หลานเพื่อขอเปลี่ยนแซ่ และนำป้ายชื่อพร้อมหนังสือรับรองกลับมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส

ภายหลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย ซูอันนำทองคำแท่งขนาดเล็กหนึ่งแท่งไปขาย เพื่อนำเงินที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทาง เพื่อย้ายไปอาศัยยังเมืองผู่เถียน ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางเพียงแค่สิบห้าวันเท่านั้น
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel