บทที่ 4 ครอบครัวเล็ก ๆ เป็นอิสระ 1/1
มู่ถงพูดจบก็คุกเข่าก้มคำนับ อำลาหลิวเฟยเป็นครั้งสุดท้าย ทุกคนล้วนคาดไม่ถึงว่าคนที่ยอมมาตลอดหลายปี จะเด็ดเดี่ยวเมื่อหมดความอดทนได้จริง ๆ เนื่องจากซูอันยืนจังก้ามือถือแท่งเหล็กไว้ ทำให้คนในห้องโถงใหญ่ไม่กล้าขยับตัว สุดท้ายหลิวเฟยจึงให้พ่อบ้านนำหนังสือสาแหรกของตระกูลมาให้ จากนั้นได้ขีดลบชื่อครอบครัวมู่ถงออก ตามด้วยหนังสือตัดความสัมพันธ์ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวอันใดต่อกันอีกตลอดไป
หลังจากครอบครัวของซูอันได้รับหนังสือตัดขาดจากตระกูลหลิว ก็พาครอบครัวออกจากจวนทันที แต่ก่อนที่นางจะก้าวเท้าพ้นประตู ยังมิวายหันไปข่มขู่คนด้านหลังที่นั่งกองอยู่กับพื้นเช่นเดิม
“หึ ข้าขอเตือนพวกท่านทุกคนเอาไว้ หลังจากนี้หากคิดส่งคนตามไปทำร้ายครอบครัวข้าละก็ ข้าจะกลับมาฆ่าล้างคนในตระกูลทุกคน ตระกูลหลิวที่น่าภาคภูมิใจของพวกท่าน จะหายไปจากเมืองถู่หลานตลอดไป ฮ่า ๆ ๆ”
ทันทีที่ไร้ร่างของซูอัน หลิวฉางฮุ่ยรีบพาตนเองคลานเข้ามาหาบิดา คล้ายต้องการกดดันให้จัดการมู่ถงกับครอบครัว เนื่องจากยังมีใบสั่งซื้อของลูกค้าค้างอยู่หลายคน “ท่านพ่อขอรับ ท่านจะปล่อยพวกมันไปเช่นนี้ไม่ได้นะ หากไม่มีพวกมัน แล้วใบสั่งซื้อผ้าปักที่ได้รับมามากมายใครจะรับผิดชอบเล่าขอรับ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นครอบครัวของมู่ถง คอยทำงานตามคำสั่งพวกเราทั้งนั้นนะขอรับท่านพ่อ”
หลิวเฟยที่นั่งเงียบอยู่นาน จึงเงยหน้าตะคอกกลับบุตรชายคนโต ด้วยต้องการระบายความโกรธเช่นกัน “แล้วเจ้าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร! เจ้าไม่เห็นหรือว่านางหลานตัวดีนั่นทำอะไรกับพวกเรา ฮะ! ข้าถูกทำร้ายแต่ไม่มีใครเข้ามาปกป้องสักคน ถ้าเจ้าอยากจัดการพวกมันก็ลงมือเอง แต่อย่าพาข้ากับคนอื่นต้องรับเคราะห์กับเจ้าไปด้วยก็แล้วกัน”
เพราะคำข่มขู่ที่มีสายตาเคียดแค้นก่อนการจากไปของซูอัน ยังเป็นที่จดจำได้ดี ครอบครัวของหลิวชางหรงจึงรีบเข้าข้างบิดา “ท่านพ่อพูดถูกถึงไม่มีครอบครัวของมู่ถง แต่ในเมืองถู่หลานยังมีนักปักผ้าที่มีฝีมืออีกหลายคน แค่ให้ค่าจ้างมากหน่อยปัญหาใบสั่งซื้อก็แก้ได้แล้วมิใช่หรือพี่ใหญ่ ข้ายังไม่อยากตายตอนนี้หรอกนะ ท่านไม่เห็นสายตาของนางเด็กซูอันนั่นรึว่ามันน่ากลัวเพียงใด”
“พี่สามีข้าไม่เชื่อหรอกว่าในเมืองถู่หลานนี้ จะไม่มีช่างปักผ้าที่เก่งกาจเหนือกว่าครอบครัวเนรคุณนั่น อย่างไรเสียตระกูลหลิวก็พอมีชื่อเสียง แค่จ้างช่างปักเก่ง ๆ มาทำงานคงไม่เกินกำลังกระมังเจ้าคะ ท่านพ่อสามีข้าเห็นด้วยกับท่านพี่เจ้าค่ะ พวกเราอย่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับคนบ้าอย่างครอบครัวนั่นจะดีกว่า” หลิวซิ่วอิงย่อมรักตัวกลัวตายเช่นกัน เพราะเงินที่แอบซ่อนแม่สามีเอาไว้ มีจำนวนหลายพันตำลึงเงิน
“พะ พะ พวกเจ้า” หลิวฉางฮุ่ยถึงกับคิดหาคำพูดชักจูงไม่ออก
หลิวเฟยเห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของหลิวชางหรง “พอแล้ว!! ทำตามที่ชางหรงบอกมาก็แล้วกัน แยกย้ายกลับเรือนของพวกเจ้าไปได้แล้ว รีบรักษาตัวให้หายยังมีงานรออยู่อีกมาก”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ”
เมื่อผู้นำตระกูลตัดสินใจแล้วใครจะกล้าขัดคำสั่งนี้ได้ บุตรหลานของพวกเขาต่างช่วยกันประคองบิดามารดา เพื่อกลับเรือนของตนเองไป ทางด้านซูอันที่พาครอบครัวออกจากจวนมาได้ นางจึงพาทุกคนไปหาโรงเตี๊ยมเพื่อนอนพักให้เต็มที่ กินอาหารอร่อยให้อิ่มท้อง
ทั้งสี่คนพ่อแม่ลูกเข้าพักที่โรงเตี๊ยมขนาดเล็ก เพราะราคาห้องพักไม่แพงจนเกินไป เนื่องจากบิดามารดาของซูอันแอบเก็บเงินยามที่ท่านย่าของบุตรทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ แต่มิได้มากมายอันใดนัก ก่อนที่บิดากับมารดาจะกลับห้องพัก หลังจากกินอาหารอิ่มแล้วซูอันได้รั้งพวกเขาเอาไว้ เพื่อพูดคุยเรื่องสถานที่สำหรับตั้งรกรากครั้งใหม่
“ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ พวกเราควรเดินทางไปเมืองไหนดีเจ้าคะ”
มู่ถงนิ่งไปเกือบหนึ่งลมหายใจก็นึกออกว่า เขาควรพาครอบครัวเดินทางไปทำงานหาเงินที่เมืองใด “อันเอ๋อร์พ่อว่าจะพาพวกเจ้าไปเมืองผู่เถียน ที่นั่นมีงานให้พวกเราทำอย่างแน่นอน เพราะเป็นเมืองที่มีการเลี้ยงไหมและการทอผ้ามากกว่าเมืองถู่หลานน่ะ”
จือเหมยพยักหน้ายืนยันเพิ่มอีกคน “ใช่แล้วลูก ที่แม่กับพ่อพอจะรู้เรื่องนี้ เพราะเคยได้ยินท่านย่าของพวกเจ้าเล่าให้ฟัง เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ แต่ระหว่างทางพวกเราคงต้องใช้จ่ายประหยัดกันสักหน่อย พวกเจ้าสองคนช่วยอดทนสักนิดนะ”
คราแรกเยี่ยนหลิงก็พอยิ้มออกได้บ้าง แต่สิ่งที่มารดาพูดทำให้นางตระหนักได้ เรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางของครอบครัว จะต้องคิดทบทวนให้มากเพื่อคนทั้งสี่
แต่สำหรับซูอันนางมิได้สนใจเรื่องอื่น นอกจากสิ่งที่บิดาบอกว่า เมืองผู่เถียนคือเมืองที่เลี้ยงไหมและทอผ้า นั่นย่อมเป็นสถานที่เพื่อให้นางกับครอบครัว ได้สร้างกิจการที่ต่อไปจะเป็นที่นิยมไปทั่วแคว้น ซูอันจึงคิดแต่งนิทานขึ้นมาหนึ่งเรื่อง เกี่ยวกับสิ่งที่นางมีติดตัวอยู่ในยามนี้ เพราะนางไม่อยากให้คนทั้งสามต้องโศกเศร้า
ซูอันมองครอบครัวพร้อมรอยยิ้ม ที่บ่งบอกว่านางมีความสุขมากกว่า เมื่อได้ออกจากจวนตระกูลหลิว “ท่านพ่อท่านแม่ พี่หญิง ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องบอกกับพวกท่านให้เข้าใจ เพราะเรื่องที่ข้าจะบอกเล่าต่อไปนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ข้าบาดเจ็บเจ้าค่ะ”
ทั้งสามคนมองไปยังซูอันเป็นจุดเดียว พร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน อาการคล้ายเกิดความสงสัยว่าคือเรื่องอันใด มู่ถงจึงเอ่ยถามกับบุตรสาวทันที “หลังจากเจ้าบาดเจ็บเกิดสิ่งใดขึ้นงั้นรึอันเอ๋อร์ หรือว่ายามนี้เจ้ารู้สึกเจ็บแผลหรืออย่างไร”
ซูอันยิ้มบางให้พวกเขาคลายกังวล “ท่านพ่อข้ามิได้เจ็บแผลอันใดเลยเจ้าค่ะ แต่เรื่องที่ข้ากำลังจะเล่านี้ มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากกว่านั้น คือว่าในตอนที่ข้าหมดสติไป และคิดว่าตนเองอาจไม่รอดกลับมาหาพวกท่าน จึงได้สวดอ้อนวอนท่านเทพเซียนทั้งหลาย สุดท้ายท่านเทพเหล่านั้นคงเกิดสงสารข้า จึงพาดวงจิตของข้าไปยังโลกแห่งหนึ่ง ที่นั่นข้าได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้และการใช้อาวุธมากมาย รวมถึงเรื่องทำการค้าจนมีอำนาจเหนือบุรุษ เมื่อฝึกฝนจนสำเร็จท่านเทพถึงได้พาข้ากลับมาเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ! ฝึกการต่อสู้กับใช้อาวุธรึ /ทำการค้าเก่งกว่าบุรุษ!” เสียงของผู้ฟังเรื่องเล่าทั้งสามคนดังขึ้นพร้อมกัน เพราะไม่อยากเชื่อเรื่องการมีโลกใบอื่น