ตอนที่ 10 มารดาจอมกลั่นแกล้ง
ตอนที่ 10
มารดาจอมกลั่นแกล้ง
ภายในห้องหนังสือประจำหอหมอกดำซึ่งเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับทุกคนในหอหมอกดำ นอกจากเฟิงอวิ๋นเค่อและเฉินอี้แล้วห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าออกโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาด
เฟิงอวิ๋นเค่อหลังจากที่กลับมาจากเรือนรับรองของหอหมอกดำซึ่งเป็นที่ๆผู้ที่เขายัดเหยียดตำแหน่งฮูหยินให้นางโดยไม่รู้ตัวนั้นพักอยู่ เขาก็เอาแต่นั่งนึกไปถึงรอยยิ้มของนางที่ส่งยิ้มมาให้เขาก่อนที่เขานั้นจะจากมา
รอยยิ้มที่ไม่มีสิ่งใดแอบแฝงของนางมันทำให้เขาจดจำเสียแล้ว
คงเป็นเรื่องปกติหากจะเอ่ยถึงสตรีงาม ย่อมต้องถูกจดจำ ยิ่งงดงามดั่งเทพธิดาเช่นนางด้วยแล้วยิ่งแล้วใหญ่ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยได้พบเห็นสตรีที่งดงาม กลับกันเขาพบเจอมามากมายนับไม่ถ้วน แต่ทุกนางกลับมีรอยยิ้มที่ไม่น่าจดจำหรือตราตรึงเช่นนางเลยสักผู้เดียว
“เฉินอี้” เขาเอ่ยเรียกคนสนิทเมื่อคิดสิ่งใดขึ้นมาได้แล้ว
“ขอรับนายท่าน” ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของนายท่านเฉินอี้ที่รอท่าอยู่ไม่ไกลก็รีบก้าวเข้ามาหานายท่านของเขาในทันที
“ข้าต้องการจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านพ่อท่านแม่และเหล่าหัวหน้าหมู่บ้านทั้งสี่ที่ลานกุ้ยฮวา เจ้ารีบไปเตรียมการให้ข้า”
“ขอรับนายท่านข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้” แม้จะไม่คอยเข้าใจผู้เป็นนายเท่าใดนักที่อยู่ๆก็มาสั่งให้เตรียมจัดงานเลี้ยงต้อนรับ ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายท่านของเขาพึ่งจะโมโหเกี่ยวกับการจะมาถึงของพวกเขาเหล่านั้นอยู่เลย
แต่ถึงจะไม่เข้าใจอย่างไร ในเมื่อนายท่านสั่งเขาย่อมต้องจัดการให้เรียบร้อยตามคำสั่ง เพราะฉะนั้นเขาจึงเก็บความไม่เข้าใจของตนเอาไว้ และทำเพียงโค้งคำนับนายท่านของเขาก่อนจะรีบออกมาทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายทันทีโดยไม่รอช้าแม้แต่น้อย
ลานกุ้ยฮวา(กุ้ยฮวา คือ ชื่อเรียกต้นหอมหมื่นลี้)ถือเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งของหอหมอกดำที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าลานแห่งนี้ได้ชื่อว่าลานกุ้ยฮวา ย่อมต้องมีต้นกุ้ยฮวาต้นใหญ่อยู่หลายต้น ซึ่งหากบางต้นนั้นอาจจะมีอายุถึงร้อยปีเลยก็ไม่ใช่เรืองแปลก
วันนี้ถือเป็นฤกษ์ดีและเหมาะสมยิ่งที่จะจัดงานเลี้ยงที่ลานกุ้ยฮวาแห่งนี้ เพราะว่าหาได้ยากนักที่คืนนี้หมอกที่มักปกคลุมอยู่ทั่วทั้งผืนฟ้ากลับกระจายตัวหายไป จนทำให้สามารถมองเห็นพระจันทร์ที่เริ่มเคลื่อนขึ้นไปบนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน
“นึกไม่ถึงว่าไม่เจอกันสามปีมานี้ลูกชายของข้าจะรู้จักชื่นชมดอกไม้เฉกเช่นผู้อื่นก็เป็นแล้ว” เฟิงฮูหยินเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี เมื่อลูกชายของนางเดินเข้ามาคำนับนางและสามีซึ่งมานั่งรอลูกชายตัวดีของนางที่ลานกุ้ยฮวาแห่งนี้อยู่ครู่หนึ่งแล้ว
“ท่านแม่วางใจเถิด ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่ต่างจากเมื่อสามปีก่อนให้ท่านได้รื่นรมย์อีกมากมายทีเดียว” เขาเอ่ยขึ้น ในใจยังคิดต่อไปอีกว่า
อย่างน้อยๆ ข้าก็จะไม่ยอมเป็นหมูในอวยให้ท่านแม่เอาไปต้มจนกินไม่ได้ง่ายๆแน่
“พูดได้ดี เช่นนั้นแม่ก็คงได้สนุกสนานไม่น้อย นับว่าเลือกไม่ผิดที่กลับมาเยี่ยมเยียนลูกชายในครั้งนี้” เฟิงฮูหยินไม่เพียงพูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้นเต็มเปี่ยมเท่านั้น ใบหน้ายังระบายยิ้มแย้มชื่นออกมาโดยไม่คิดปิดบัง
ทำเอาเฟิงอวิ๋นเค่อที่จ้องมองใบหน้าของมารดาอยู่นั้นอดที่จะคิ้วกระตุกเสียหลายทีไม่ได้
มารดาผู้อื่นรักลูก ดูแลดียิ่งกว่าสิ่งใด แตกต่างจากมารดาของเขายิ่งนัก เพราะถึงแม้เขาจะรู้ว่ามารดารัก แต่ก็รู้ด้วยว่ามารดานั้นชอบกลั่นแกล้งเขาเพียงใด เรียกได้ว่ามีโอกาสเมื่อใดมารดาเขานั้นไม่เคยพลาดและยิ่งไม่เคยออมมือใดๆทั้งสิ้น
เขายังจำได้ดี ตอนที่เขาอายุได้เจ็ดขวบยามนั้นเขาก็เริ่มต้นที่จะศึกษาตำราพิษแล้ว จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งเขานั่งศึกษาตำราอยู่ที่ศาลาหิน อยู่ๆมารดาไม่รู้มาจากที่ใด ถือน้ำถังหนึ่งสาดใส่เขาจดตำราในมือเปียกไปกว่าครึ่ง ยังไม่พอนางยังตบมือดีใจเมื่อเห็นทั้งเขาและตำราต่างก็เปียกไปหมด จนสภาพแทบจะหยิบมาอ่านต่อไม่ได้
นี่ยังไม่รวมไปถึงอีกหลายๆเรื่องซึ่งก็ไม่ธรรมดาเช่นกันเรียกได้ว่ามารดาของเขานั้นพัฒนาการกลั่นแกล้งได้เพิ่มขึ้นๆจนเขาแทบจะเสียท่าอยู่หลายครั้งเลยก็ว่าได้
และครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกัน มารดาจงใจเอาสตรีหลากหลายมาทำให้เขาวุ่นวาย การเล่นสนุกของนางในครั้งนี้เขาคงจะปล่อยให้มารดากลั่นแกล้งได้สำเร็จไปไม่ได้
“เอาเถอะๆสองแม่ลูกคู่นี้ พวกเจ้าอย่ามั่วแต่คุย (แยกเคี้ยวใส่) กันอยู่เลย เห็นหรือไม่เหล่าหัวหน้าหมู่บ้านนั่งรอพวกเจ้าสองแม่ลูกนานแล้ว”
สุดท้ายแล้วเฟิงอวี๋สือก็ต้องเป็นผู้ห้ามศึกระหว่างลูกชายและฮูหยินของตนอีกครั้ง หลังจากที่เขานั้นห่างหายจากสถานนะการเช่นนี้ไปได้แล้วถึงสามปี แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาเป็นตัวห้ามทัพระหว่างลูกชายและฮูหยินของตนอีกจนได้
“งานเลี้ยงวันนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ทานเยอะๆก็แล้วกันขอรับ ข้าสั่งให้คนครัวทำอาหารจานพิเศษๆไว้หลายจานเลยทีเดียว”
เฟิงอวิ๋นเค่อเอ่ยทิ้งท้ายออกมากก่อนจะเดินออกมาจากโต๊ะของท่านพ่อและท่านแม่ของเขา ซึ่งเป็นโต๊ะที่อยู่ตรงกันข้ามกับโต๊ะของเขาพอดี แน่นอนว่าลานกุ้ยฮวาแห่งนี้เป็นลานสี่เหลี่ยมโต๊ะอาหารจึงจัดตามสี่มุม โดยมีโต๊ะของเขาและท่านพ่อท่านแม่ของเขาอยู่ตรงข้ามกัน โต๊ะของหมู่บ้านทิศเหนือและทิศตะวันตก ก็ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับโต๊ะของหมู่บ้านทิศใต้และทิศตะวันออกเช่นกัน
“เฉินอี้เจ้าสั่งเริ่มการแสดงได้” เมื่อเขานั่งลงที่โต๊ะอาหารของตัวเองเสร็จก็เอ่ยสั่งให้คนสนิทอย่างเฉินอี้เรียกให้เริ่มการแสดงทันที เพื่อเป็นการตัดจังหวะไม่ให้มารดาหรือเหล่าหัวหน้าหมู่บ้านแต่ละคนได้มีโอกาสพูดส่งแนะนำสตรีที่นั่งอยู่ข้างๆกันกับหัวหน้าของแต่ละหมู่บ้านซึ่งแต่ละนางนั่นต่างก็มีผ้าปกปิดหน้ากันอยู่ครึ่งหน้าทุกนาง
ซึ่งเขาคิดว่าพวกเขาคงคิดจะให้แต่ละนางนั้นเปิดหน้าออกทีละคนหลังจากแนะนำตัวเสร็จ แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยให้การแสดงหรือเสียงดนตรีเงียบหรือจบลงง่ายๆแน่ คงต้องของดูฝีมือของมารดาเสียหน่อยแล้วว่านางนั้นจะหาจังหวะได้เช่นไร
เขาคิดในใจ มือก็ยกจอกสุราในมือขึ้นยกไปตามด้านหน้าและด้านข้างทั้งสองฝั่งของตนที่มีคนอื่นๆนั่งอยู่เพิ่มเป็นการเชิญให้ทุกคนดื่ม โดยเขานั้นไม่สบตาหรือมองไปที่ผู้ใดนานเลย เรียกได้ว่าตัดจังหวะสนทนาทั้งหมดแล้วก็ว่าได้
เมื่อเหล้าจอกที่สามถูกเฟิงอวิ๋นเค่อดื่มจนหมดในคราเดียว เฟิงอวิ๋นเค่อนั้นถึงได้เรียกคนสนิทของตนเขามากระซิบเสียงเบาอย่างระวังอีกครั้ง
“เฉินอี้ เจ้ารีบไปที่เรือนหนังสือข้า เชิญฮูหยินข้ามที่นี่ได้แล้ว ป่านนี้นางคงรอข้าอยู่เป็นนานได้เวลาที่นางจะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้กับข้าเสียที”
แน่นอนว่าระหว่างที่กระซิบพูดคุยกับคนสนิทสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่เบื้องหน้า สายตาสบเขากับสายตาไม่สบอารมณ์ของมารดาของเขาพอดี ซึ่งแน่นอนว่าเขานั้นหาได้สนใจกับท่าทางไม่สบอารมณ์นั้นไม่ เขาเลือกที่จะหยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มและทำท่าสนอกสนใจการร่ายรำตรงหน้าของเหล่านางรำแทน
