2 คนแปลกหน้าที่ใจดี
ถ้วยเซรามิกสีครีมที่มีไอน้ำลอยกรุ่นอยู่เหนือผิวของ chocolat chaud หรือช็อกโกแลตร้อนแบบฝรั่งเศสแท้ ๆ เมื่อยกขึ้นแนบริมฝีปาก รสหวานละมุนผสานกลิ่นโกโก้เข้ม ๆ ทำให้วันแรกในกรุงปารีสของเธออบอุ่นกว่าที่คาดเอาไว้… เด็กสาวพ่นลมหายใจเบา ๆ พลางมองผู้คนเดินผ่านไปมายามพลบค่ำ
เมื่อมื้ออาหารสิ้นสุดลง พลอยนภัสล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าถือที่สะพายอยู่ด้านข้างเพื่อหยิบกระเป๋าเงินออกมา แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือความว่างเปล่า หัวใจของเธอกระตุกวูบ ความร้อนผ่าวแล่นขึ้นมาที่ใบหน้า เธอเพิ่งรู้ตัวว่ากระเป๋าเงินและมือถือได้หายไปแล้ว และเมื่อกวาดตามองอย่างละเอียด ก็เห็นรอยกรีดเล็กๆ แนวยาวที่ด้านข้างกระเป๋าที่ถูกกระทำอย่างแนบเนียนจนเธอไม่ทันสังเกต
“Madame?” พนักงานเสิร์ฟชายสูงวัยในชุดเอี๊ยมสีดำเดินเข้ามาทวงค่าอาหาร ใบหน้าของเธอซีดเผือดราวกับกระดาษ เด็กสาวพยายามรื้อค้นทุกซอกทุกมุมภายในกระเป๋าเป้ของเธอ สลับกับกระเป๋ากางเกงยีนส์ แต่ก็ไม่มีวี่แววของกระเป๋าเงินแม้แต่เหรียญเดียว ความตื่นตระหนกเข้าจู่โจม เธอเม้มปากล่างแน่น เพื่อไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
พลอยนภัสรู้สึกเหมือนมีสายตาทุกคู่ในร้านจับจ้องมาที่เธอ จนเด็กสาวแทบอยากจะวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้ แต่ขาของเธอกลับแข็งทื่อราวกับถูกสาป ความอับอายกัดกินใจ
“I sincerely apologize, but I seem to have been pickpocketed. My wallet is completely gone.” (ขอโทษจริงๆ ค่ะ เหมือนฉันจะโดนล้วงกระเป๋า กระเป๋าสตางค์ของฉันหายไปหมดเลย) พลอยนภัสพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะคงความหนักแน่น แต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยความสั่นเครือจากความตื่นตระหนก
เธอพยายามอธิบายสถานการณ์อย่างมีเหตุผลและคล่องแคล่วเป็นภาษาอังกฤษตามที่เธอถนัด แต่สถานการณ์ตรงหน้าทำให้ทุกคำพูดต้องใช้ความพยายามอย่างสูง แต่พนักงานเสิร์ฟชายสูงวัยกลับแสดงสีหน้าไม่พอใจหนักขึ้นเรื่อย ๆ
เขาไม่ได้สนใจการอธิบายของเธอ แต่กลับพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วยน้ำเสียงดุดันและชี้ไปที่ประตูร้าน ราวกับกำลังบอกให้เธอออกไปจากที่นี่ซะ และนั่นยิ่งทำให้พลอยนภัสยืนงงจนทำอะไรไม่ถูก เธอพอฟังภาษาฝรั่งเศสออกบ้าง และพอจะเข้าใจว่าเขาไล่เธอ
มังกรที่เห็นพลอยนภัสโดนพนักงานในร้านไล่เสียงดัง หลังฟังเธอยืนสนทนาเมื่อสักครู่ เขาจึงคิดหาทางช่วยเหลือ
ทำยังไงดี? ฉันจะทำยังไงดี? เสียงในหัวของเธอดังก้อง เด็กสาวรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต การมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในต่างแดนสอนให้เธอเข้มแข็งและพึ่งพาตัวเอง แต่สถานการณ์ตรงหน้านี้กลับเกินขีดจำกัดที่เธอจะรับไหว
ทันใดนั้น เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นข้างหลังเด็กสาว ชายหนุ่มก้าวมายืนข้าง ๆ เธอ เขาพูดกับพนักงานคนนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยเป็นภาษาฝรั่งเศสที่ดูคล่องแคล่ว
“Combien coûte l'addition? Je vais payer pour elle.” (ค่าอาหารเท่าไหร่? ผมจะจ่ายให้เธอเอง)
พนักงานเสิร์ฟถึงกับชะงักเมื่อเห็นชายหนุ่มรูปงามท่าทางภูมิฐานพูดภาษาของตนได้อย่างดี และรับรู้ถึงออร่าความมั่นใจที่แผ่ออกมา เขาจึงผ่อนสีหน้าลง
“Treize euros cinquante, monsieur.” (สิบสามยูโรห้าสิบเซนต์ครับท่าน) พนักงานเสิร์ฟ ตอบกลับมาเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างสุภาพ ต่างจากเมื่อสักครู่อย่างสิ้นเชิง เขารับเงินจากมังกรแล้วเดินไปที่เคาเตอร์อย่างเงียบๆ จากนั้น ซีอีโอหนุ่มจึงหันมาหาเด็กสาวพร้อมรอยยิ้ม
“คุณเป็นคนไทยใช่มั้ยครับ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล พลอยนภัสมองใบหน้าคมเข้มของเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ความกดดันและความอับอายเมื่อครู่ค่อย ๆ สลายไป
“ค่ะ... ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยนะคะ หนูไม่คิดว่าจะเจอคนไทยด้วยกัน” เธอรีบยกมือไหว้โดยอัตโนมัติ น้ำตาที่กลั้นไว้เมื่อครู่เริ่มคลอหน่วย
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร” เขายิ้มอย่างเข้าใจ พลางยกมือห้าม
“ว่าแต่... น้องมาเที่ยวที่นี่คนเดียวเลยเหรอครับ”
“ค่ะ... หนูเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน”
“ที่ปารีสนี้เหรอครับ” มังกรเลิกคิ้วถาม
“ไม่ค่ะ ที่ลอนดอน แต่พอดีว่าก่อนกลับไทย หนูนั่งรถไฟมาเที่ยวที่นี่ค่ะ” สีหน้ามังกรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าเธอมาที่นี่ตามลำพังเขาก็รู้สึกเป็นห่วง เธอเป็นคนที่เขาถูกชะตา และไม่อาจปล่อยผ่านให้เผชิญชะตากรรมได้ตามลำพัง แต่เขาจะรั้งเธอไว้ได้อย่างไร!
“อ๋อ!!! น้องคงเป็นเด็กทุนแลกเปลี่ยนใช่มั้ย แล้วเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” สายตาคมสบตาของเด็กสาวผู้กำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวและกังวล
“กระเป๋าของหนูค่ะ… มันถูกกรีด พวกเงินสด พาสปอร์ต และก็มือถือของหนู… หายไปหมดเลย” เสียงเธอสั่น ความตื่นตระหนกที่ซ่อนอยู่ไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้
มังกรมองใบหน้าซีดเผือดจากการพยายามกลั้นน้ำตาของเธอ เขาไม่รีรอที่จะเสนอความช่วยเหลือและปลอบโยนเธอให้หายจากอาการกังวลที่เป็นอยู่ มือของชายหนุ่มวางลงบนไหล่บอบบางของเด็กสาวเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ใจเย็น ๆ ก่อนครับน้อง” เสียงทุ้มของเขานุ่ม อบอุ่น และปลอดภัยจนดูดซับความหวาดกลัวของเธอไปทีละน้อย พลอยนภัสเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นน้ำตาไม่ร้องไห้ต่อหน้าเขา แต่ความอ่อนโยนในน้ำเสียงและแววตาของมังกรกลับทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นและเริ่มไว้ใจเขา
“เอางี้นะครับ…” มังกรก้มมองใบหน้าสวยของเธอในระยะที่พอดีกับสายตาของเด็กสาว
“น้องไว้ใจพี่มั้ย?” ดวงตากลมโตที่มีน้ำคลอเบ้าวูบไหว เธอลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเธอจึงตอบตกลง อย่างน้อย ๆ ก็จะได้ออกไปจากตรงนี้ซะที
“ค่ะ…” เธอตอบสั้น ๆ ด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ก็พยายามให้เขาได้ยิน คำตอบนั้นทำให้ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ เพราะลึก ๆ แล้ว เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกถูกชะตาและหลงใหลจนอยากปกป้องเด็กสาวคนนี้เหลือเกิน ราวกับว่า...มันเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้เขาได้พบเธออีกครั้ง
“นี่ก็จะมืดแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นพลางมองนาฬิกาข้อมือ
“เดี๋ยวพี่พาน้องไปหาที่พักก่อนดีมั้ย แล้วเราค่อยหาทางว่าจะเอายังไงกันต่อดี” พลอยนภัสพยักหน้า เธอกอดแขนตัวเองเหมือนกำลังหาที่พึ่งสุดท้าย สีหน้าเธอซีดเซียวแต่ยังพยายามตั้งสติ
“ค่ะ…”
“น้องทานมื้อเย็นเสร็จแล้วใช่มั้ย?” มังกรเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“ค่ะ… หนูทานเสร็จแล้วค่ะ ก่อนจะเกิดเรื่องเมื่อกี้”
“ดีครับ” เขาพยักหน้า
“งั้นไปกับพี่นะ เดี๋ยวพี่จะช่วยเหลือน้องเอง” เด็กสาวมองหน้าเขา ชายแปลกหน้าคนหนึ่งในต่างแดน แต่กลับเป็นคนเดียวที่ยื่นมือช่วยเหลือเธอในวันที่เธอหมดหนทาง
“ค่ะ…” เสียงเธอเบาและสั่น แต่แน่นด้วยความเชื่อใจเต็มร้อย มังกรยื่นมือไปจับมือของเด็กสาว ความอบอุ่นที่แผ่ผ่านผิวสัมผัสทำให้เธอรู้สึกรู้สึกอบอุ่นและไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้กับใครมาก่อน
ท่ามกลางเสียงรถราบนถนนช็องเซลีเซ ท้องฟ้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีอมชมพูยามโพล้เพล้ ภาพชายหญิงสองคนเดินเคียงกันราวกับเป็นคู่รักในต่างแดน เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุแต่คือพรหมลิขิตที่นำพาให้ทั้งสองมาเจอกันก็ว่าได้