บทที่ 14 เรื่องคิดมาก
“ จะไปไหนกัน คณะของพวกคุณอยู่ที่พีระมิดเมนเคอเรแล้ว ไม่ใช่ที่นี่ ” เซเรียเดินตรงเข้ามาขวางทางชนะชนกับมินตรา ไม่ให้เข้าไปในพีระมิดขององค์ฟาโรห์คาเฟร ซึ่งเป็นพีระมิดเดียวจากพีระมิดทั้งสามที่มีรูปปั้นสฟิงซ์ ( สิงโต ) หน้าคนตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าทางเข้า
...แค่ได้แกล้งถ่วงเวลาเขา แม้เพียงแค่เศษเสี้ยวนาที เธอก็รู้สึกสนุกกับการที่ได้เห็นเขาต้องทุกข์ทรมาน และแสดงกิริยาราวกับกระหายที่จะเข้าไปให้ได้
“ หัวหน้าอยากจะเข้าไปสักการะดวงพระวิญญาณขององค์ฟาโรห์น่ะค่ะ ” มินตราเป็นฝ่ายตอบแทนชนะชน ด้วยภาษาอังกฤษตามที่เซเรียส่งภาษาถามมา ขณะที่ชนะชนยืนจ้องหน้าเซเรียนิ่ง
“ ถ้าอย่างนั้นฉันจะนำทางให้แล้วกัน ”
“ ไม่จำเป็น ! ”
คราวนี้ชนะชนสวนขึ้นทันควันด้วยภาษาอาหรับ เสียงเข้มแบบเดียวกับในคราวที่ปฏิเสธเซรี แต่นั่นเองที่ทำให้หญิงสาวหัวเราะขบขัน และยอมเปิดทางให้แบบง่ายๆ จนมินตรางุนงงกับพฤติกรรมแปลกๆ ของคนทั้งคู่ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้ปริปากถามอะไรออกมา
“ เดี๋ยวดิฉันถือไฟฉายให้นะคะ ” มินตราบอกชนะชน หลังจากที่เดินเข้าไปภายในพีระมิด กระทั่งถึงจุดที่แสงอาทิตย์ไม่อาจสาดส่องเข้าไปถึง
“ ไม่เป็นไร ผมถือเองดีกว่า ” เขาปฏิเสธ น้ำเสียงอ่อนโยนผิดจากตอนที่พูดกับสองสาวพี่น้อง เพราะถึงแม้มินตราจะจดจำเรื่องราวต่างๆ ในอดีตชาติไม่ได้เลย แต่ชายหนุ่มก็ไม่อยากให้การกระทำโง่ๆ ของเขาไปกระทบกระเทือนจิตใจเธออีก
...แค่ได้พบกันอีกครั้ง และมีเธออยู่ข้างๆ แบบนี้ ก็นับว่าเป็นโชคดีที่สุดของเขาแล้ว สำหรับการถือกำเนิดมาในภพชาตินี้
“ หัวหน้าระวังๆ นะคะ พื้นพีระมิดไม่ค่อยเรียบ อาจจะสะดุดล้มได้ ” มินตราพูดทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง ระหว่างที่ทั้งเธอและเขาเดินลึกเข้าไปจนเกือบถึงส่วนในสุดของพีระมิด ซึ่งเป็นห้องที่ใช้เก็บรักษาพระศพองค์ฟาโรห์คาเฟร
“ ขอโทษนะที่ทำให้ต้องลำบาก ” ชนะชนตอบพลางหัวเราะขื่นๆ นึกสมเพชตัวเองที่ต้องให้นางอันเป็นที่รักคอยดูแล ทั้งที่ควรจะเป็นตัวเขาเองมากกว่าที่ต้องปกป้องดูแลเธอ
“ หัวหน้าอย่าคิดมากสิคะ ดิฉันไม่ได้ลำบากอะไรเลย แล้วก็ดีใจที่ได้มาสักการะดวงพระวิญญาณขององค์ฟาโรห์ที่นี่ ขออนุญาตทำตามอย่างที่หัวหน้าทำนะคะ ” มินตราบอกชนะชน พร้อมกับยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ เป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ปราศจากความรู้สึกอื่นใดแอบแฝง จนชนะชนชะงักไปกับภาพที่ราวกับถอดแบบมาจากห้วงเวลาในอดีตชาติ
...ต่อให้ทุกข์หรือโศกเศร้าเพียงใด มิราก็จะมีรอยยิ้มให้กับเขาและคนรอบข้างเสมอ แม้กระทั่งในวินาทีสุดท้ายของชีวิต เธอก็ยังฝืนยิ้มให้กับแม่นมผู้คอยดูแล ทั้งที่ทรมานจากยาพิษอย่างแสนสาหัส
“ ขอบคุณนะที่เข้าใจผม ” ชนะชนยิ้มตอบมินตรา หากแต่เป็นรอยยิ้มที่มีน้ำใสๆ เอ่อท้นอยู่ตรงขอบตาด้วย ก่อนที่หยาดน้ำใสๆ เหล่านั้นจะไหลรินลงมาใสตอนที่ชายหนุ่มก้มลงกราบตรงพื้นที่ที่เคยประดิษฐานโลงพระศพขององค์ฟาโรห์คาเฟร
...เป็นน้ำตาแห่งความสำนึกผิดต่อบรรพบุรุษ และต่ออดีตมเหสีซึ่งได้กลับชาติมาถือกำเนิดเป็นหญิงสาวที่กำลังก้มลงกราบสักการะแด่ดวงพระวิญญาณอยู่ข้างๆ กันตรงนี้
“ ในนี้อากาศน้อยนะคะ รีบออกไปที่พีระมิดขององค์ฟาโรห์เมนเคอเรกันดีกว่าค่ะ ” มินตราบอกชนะชนที่ลุกขึ้นยืนก้มหน้านิ่ง รอจนเขาพยักหน้าจึงค่อยๆ ประคองเขาออกไปตามทางเดิม และคอยชำเลืองมองเขาด้วยความเป็นห่วงเป็นระยะๆ ขณะที่ชนะชนเดินกำกระบอกไฟฉายในมือแน่น ด้วยความเจ็บใจในสภาพร่างกายของตัวเอง
...ป่านนี้บรรพบุรุษของเขาคงกำลังมองเขา พลางหัวเราะด้วยความสมเพชในความอ่อนแอของเขาอยู่แน่ๆ อ่อนแอทางกายและใจ ไร้ซึ่งคุณสมบัติที่จะครองบัลลังก์ ก็อย่างที่เซเรียพูด สมควรแล้วที่เขาเป็นฟาโรห์องค์เดียวที่ไม่มีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์
“ ชนม์ ! นายเป็นไข้หนักขนาดนั้น แล้วออกมาจากเต็นท์ทำไมเนี่ย ! ? ”
เสียงโวยวายของจตุรงค์ปลุกชนะชนให้ตื่นจากภวังค์ และกว่าจะรู้ตัวเพื่อนรักจอมกะล่อนก็เข้ามาแย่งไฟฉายไปจากมือ พร้อมกับช่วยมินตราประคองเขาออกมาจากพีระมิดฟาโรห์คาเฟรอีกแรง
...คงมีใครสักคนบอกจตุรงค์ว่าเขากับมินตราอยู่ที่นี่ และในฐานะเพื่อนก็อดที่จะเข้ามาช่วยเพื่อนหัวรั้นอย่างเขาไม่ได้ นี่เขาทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนอีกแล้วสินะ ชนะชนนึกโทษตัวเอง ด้วยหัวใจที่ถูกความหมองเศร้าครอบงำ
“ นายน่ะควรจะกลับไปนอนที่เต็นท์ได้แล้วนะ เกิดล้มพับไปอีกจะทำยังไง ” จตุรงค์ทำท่าจะพาชนะชนกลับไปที่เต็นท์ แต่เจ้าตัวกลับยืนกรานปฏิเสธ
“ ฉันต้องไปที่พีระมิดขององค์ฟาโรห์เมนเคอเร ต้องไป... ขอขมาต่อดวงพระวิญญาณของพระองค์ ”
“ นายเคยไปทำอะไรไว้ให้ดวงพระวิญญาณของพระองค์ทรงกริ้วด้วยเหรอ ตอนมาอียิปต์คราวที่แล้วหรือไง อย่าบอกนะว่าองค์ฟาโรห์คูฟู กับองค์ฟาโรห์คาเฟรด้วยน่ะ ? ”
“ เรื่องมัน... นานมาแล้ว ” ชนะชนตอบคำถามของจตุรงค์แบบเลี่ยงๆ เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้นสิ่งที่ผ่านมาแล้วหลายพันปีเหล่านั้น ให้กับผู้ที่ไม่ได้ร่วมระลึกชาติด้วยได้รู้
...เขาไม่ต้องการให้ใครต้องมาตกอยู่ในวงเวียนกรรม และความอาฆาตแค้นไปมากกว่านี้
“ ชนะชน ! เป็นยังไงบ้าง ทำไมอยู่ๆ ก็ออกมาจากเต็นท์โดยพลการแบบนี้ ” ป๋าวิบูลย์เดินนำสองสาวต่างวัยตรงเข้ามาหาพวกชนะชนด้วยความเป็นห่วง
“ นั่นสิ ! ดีนะที่คุณเซรีเธอไปบอก ถึงจะให้มินตราช่วยประคองก็เถอะ ตัวบางๆ อย่างนี้จะไปรับน้ำหนักไหวได้ยังไงกัน ” เจ๊แหม่มพูดสนับสนุน และยกความดีความชอบให้กับเซรี สาวอียิปต์คนโปรด
หึ ! ขอให้มันเป็นความปรารถนาดีจริงๆ ที่ไม่มีอะไรเคลือบแคลงก็แล้วกัน ชนะชนลอบยิ้มเยาะ
“ แต่ผอ.วิไลวรรณคะ มินตราน่ะเห็นตัวบางๆ แบบนี้ เรี่ยวแรงมหาศาลเลยนะคะ เคยวิ่งตามรถเมล์ตั้งหลายป้าย เพื่อจะได้กลับบ้านตรงเวลาด้วยล่ะค่ะ ” เกสรียกมือเป็นเชิงขออนุญาตพูดแทรก แต่เพราะคำพูดของเธอนั่นเองที่ทำให้มินตรายืนหน้าแดงซ่านด้วยความอาย
“ เกด ! ” หญิงสาวเรียกชื่อเพื่อนเป็นเชิงปราม ขณะที่คนอื่นๆ พากันอมยิ้มกับวีรกรรมของมินตรา ไม่เว้นแม้แต่ชนะชน เขาพึ่งรู้ว่าอดีตมเหสีของเขาเคยสวมบทนักวิ่งทีมชาติที่ประเทศไทยด้วย
“ เอ่อ... เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะพาชนม์ไปสักการะพีระมิดองค์ฟาโรห์เมนเคอเร แล้วจะตามไปทานอาหารนะครับ ” จตุรงค์พูดขึ้น หลังจากทุกคนเงียบกันไปพักหนึ่ง
“ ขอดิฉันไปด้วยนะคะ ดิฉันก็อยากไปค่ะ ” มินตรารีบขออนุญาต ด้วยท่าทางกระตือรือร้น
...จริงอยู่ที่อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ เธอไม่ได้เข้าไปในพีระมิดทั้งสามพร้อมสมาชิกคณะคนอื่นๆ ทั้งที่ควรจะได้เข้าไปพร้อมๆ กัน แต่เหตุผลอีกส่วนก็คือ ความรู้สึกผูกพันอย่างประหลาดกับโบราณสถานเหล่านี้ ราวกับเคยเห็นและเคยสัมผัสมาก่อน ทั้งๆ ที่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเยือนประเทศนี้ด้วยซ้ำ
“ เอาล่ะๆ ถ้าอย่างนั้นทั้งจตุรงค์ แล้วก็มินตราช่วยกันดูแลชนะชนด้วยก็แล้วกันนะ ” ป๋าวิบูลย์พยักหน้าสรุป ก่อนจะยืนมองเจ้าหน้าที่ในความดูแลทั้งสามคนที่พากันเดินไปยังพีระมิดขององค์ฟาโรห์เมนเคอเร พลางยิ้มชื่นชมในหัวใจที่ตั้งมั่นของหนุ่มสาว
ไม่นานนัก ชนะชน จตุรงค์ และมินตราก็เข้าไปถึงส่วนในสุดของพีระมิด ซึ่งเคยเป็นห้องสำหรับเก็บรักษาพระศพขององค์ฟาโรห์เมนเคอเร โดยพระองค์ทรงเป็นพระโอรสขององค์ฟาโรห์คาเฟร และทรงเป็นพระนัดดาขององค์ฟาโรห์คูฟู ฟาโรห์ 2 พระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของพีระมิดที่ตั้งตระหง่านอยู่ข้างๆ กัน ซึ่งพีระมิดขององค์ฟาโรห์เมนเคอเรนั้นมีขนาดเล็กที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ยังใหญ่กว่าพีระมิดของฟาโรห์ซาร์บริเวณทะเลทรายขาว
“ เฮ้ๆ นายจะรีบเดินไปไหนเนี่ยชนม์ ช้าๆ ก็ได้ ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งทำให้อาการไข้ทรุดเร็วนะ ในนี้อากาศก็น้อยด้วย ” จตุรงค์เอ่ยเตือนเพื่อน แต่ดูเหมือนชนะชนจะไม่ได้ให้ความสนใจ
...ชายหนุ่มยังคงเร่งฝีเท้าในการก้าวไปข้างหน้า เร็วที่สุดเท่าที่คนที่ถูกอาการไข้เล่นงานอย่างเขาจะทำได้ ด้วยเกรงว่าหากองค์ฟาโรห์เมนเคอเรทรงไม่พอพระราชหฤทัยในตัวเขา รวมทั้งไม่ทรงยอมรับการขอขมาจากเขาแล้ว อาจจะทำให้ผู้ที่ติดตามเขาเข้ามาทั้งสองคนต้องมาพลอยรับเคราะห์ไปกับเขาด้วย
“ พูดแล้วยังไม่ฟังอีกแน่ะ ลำพังฉันน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่น้องมินตราน่ะ ทั้งประคองนายทั้งเดินตามนายจนขาจะขวิดอยู่แล้ว รู้หรือเปล่า ”
...ได้ผล ! คราวนี้คำพูดของจตุรงค์ทำให้ชนะชนถึงกับชะงัก และหยุดเดินกะทันหันจนทั้งมินตราทั้งจตุรงค์แทบเบรกตัวเองไม่ทัน
“ เฮ้ย ! อะไรของนายเนี่ย อยู่ๆ ก็หยุดเดินซะอย่างนั้น เดี๋ยวก็ชนกันหัวร้างข้างแตกหรอก ” จอมกะล่อนโวยวาย
“ อย่าเสียงดังสิรงค์ ที่นี่เป็นโบราณสถานเก่า เป็นสถานที่สถิตของดวงพระวิญญาณ เป็นที่อันศักดิ์สิทธิ์ขององค์ฟาโรห์ ควรจะสำรวมเวลาเข้ามา ” ชนะชนปรามเพื่อนเสียงเครียด แต่กลับถูกอีกฝ่ายย้อนแบบแทงใจดำ
“ สรุปว่านายกลัว กลัวว่าพระองค์จะยิ่งทรงกริ้ว นายคิดมากเรื่องนี้ใช่ไหมถึงได้รีบเดิน เพื่อจะได้เข้าไปขอขมาพระองค์ ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายเคยไปทำอะไรไว้ แต่คนที่จะมาเป็นฟาโรห์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองไพร่ฟ้าประชาชนตั้งมากมายน่ะ พระองค์ไม่ทรงไร้เหตุผลถึงขนาดนั้นหรอก คิดมากไปได้ ”
“ ใช่แล้วล่ะค่ะ ยิ่งถ้าหัวหน้าไม่ได้มีเจตนาที่จะทำสิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงกริ้ว หรือเจตนาทำแต่มีเหตุผลที่ยอมรับได้ พระองค์ต้องทรงเข้าใจและให้อภัยแน่ๆ เลยค่ะ ” มินตราสนับสนุนสิ่งที่จตุรงค์พูด ทั้งคำพูดและรอยยิ้มของหญิงสาวท่ามกลางแสงจากหลอด LCD ของไฟฉาย ทำให้ชนะชนชะงักไปอีกครั้ง ขณะที่หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตชาติเมื่อหลายพันปีก่อน ในตอนที่เขาพามิราเข้าไปกราบทูลขอคำแนะนำจากฟาโรห์เชปซีสกาฟ ผู้สถาปนาเขาขึ้นเป็นฟาโรห์ หากเขาจะแต่งตั้งเธอเป็นมเหสีแทนน้องสาวของเขา ซึ่งเป็นการขัดกับจารีตที่เคยมีมา
“ ท่านพี่... เพลานี้ ท่านพี่เองก็กำลังจักเป็นองค์ฟาโรห์ผู้ครองลุ่มน้ำไนล์แล้ว จารีตนั้นก็คือตัวท่านพี่เองไม่ใช่หรือ หากท่านพี่เห็นสิ่งใดควร แลไม่เป็นผลร้าย ท่านพี่ก็จงถือปฏิบัติเถิด อันว่าความรักนั้น หากบังเกิด ณ ที่ใดก็ยากที่จะหักห้ามได้ แม้นตัวข้าเองก็อาจถือจารีตของท่านพี่ในภายหน้าก็เป็นได้ ”
นั่นคือพระราชดำรัสขององค์ฟาโรห์เชปซีกสาฟในครั้งนั้น และเขาเองก็ยังจดจำได้ดีถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อเขา มิรา รวมทั้งติติ แล้วก็เป็นไปได้ที่พระมหากรุณาธิคุณที่ทั้งคู่ได้รับ จะยังฝังแน่นอยู่ในจิตใต้สำนึก ติดตัวมาถึงในชาติปัจจุบัน
