บทที่ 1. ต้นกำเนิดซาตาน...
“ให้พี่ไปส่งดีกว่าไหมครับ ผู้หญิงเดินทางคนเดียวได้ยังไงมันอันตรายนะ...” อัครวัฒน์เดินตามมาคลอเคลียคู่หมั้นสาวเมื่อช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันสิ้นสุดลง
วันนี้ทั้งวันเขากับเธอควงคู่กันไปมอบการ์ดเชิญตามบ้านของเพื่อนสนิทจนครบหมดทุกคนก่อนจะถึงเวลาที่เธอจะต้องไปดูชุดเจ้าสาวกับเพื่อนรัก ความจริงเขาอยากจะไปกับเธอด้วยเพราะรู้สึกแปลกๆ ในใจอย่างไรไม่รู้แต่ก็รู้ดีว่าชลิตานั้นดื้อดึงและมีความเป็นตัวของตัวเองสูงหากเธอคิดจะทำอะไรเธอจะต้องตั้งใจทำอย่างนั้นซึ่งข้อนี้เขาเข้าใจดีและยอมรับได้เพราะคนที่จะเคียงข้างเขาก็จะต้องเป็นผู้หญิงแบบเธอนี่ล่ะ...
“พี่โดมทำงานไปเถอะค่ะ นี่มันเพิ่งสี่โมงเย็นเองนะคะไม่ใช่สี่ทุ่ม หนูเล็กโตแล้วกลับบ้านเองได้ค่ะ ทำงานดีๆ ล่ะ แล้วก็เอาของชำร่วยไปจัดการให้เรียบร้อยด้วย แล้วหนูเล็กก็ไปดูชุดเจ้าสาวกับบีค่ะไม่ได้ไปคนเดียวเสียหน่อย”
“ครับๆ พี่โดมผิดเองที่ห่วงว่าที่คุณเมียมากไป”
“พี่โดมน่ะ พูดน่าเกลียดจัง...”
หญิงสาวเอียงอายแล้วเดินไปขึ้นตัวเองหน้าแดงก่ำแต่ก็หันมาโบกมือให้คู่หมั้นหนุ่มอย่างสดใส อัครวัฒน์โบกมือตอบด้วยรอยยิ้มละลายหัวใจที่แม้ว่าเขากำลังจะแต่งานแต่ก็ยังมีสาวๆ หมั่นมาทอดสะพานให้เขาเสมอ แต่มันไม่ได้ทำให้เขาสนใจพวกเจ้าหล่อนเลยแม้แต่คนเดียว...
ชลิตาขับรถออกไปแล้วอัครวัฒน์จึงหันมาทำงานของตนที่คั่งค้างไว้ก่อนจะไปทำธุระให้ว่าที่ภรรยาในอนาคตด้วยความรื่นรนรมย์ วันแต่งงานของเขาใกล้เข้ามาแล้ว เขาไม่นึกเลยว่าเขาจะรู้สึกตื่นเต้นมากขนาดนี้มาก่อน พี่ๆ ของเขารู้สึกเหมือนกันไหมนะ...
อัครากับอัคนี มองน้องชายที่นั่งยิ้มไม่หุบอยู่ตรงหน้าอย่างหมั่นไส้แล้วต่างก็ปาเม็ดถั่วอบกรอบใส่อัครวัมน์อย่างหมั่นไส้ที่เอาแต่นั่งยิ้มเหมือคนบ้าอยู่ตรงหน้า
“โอ๊ยๆ อะไรกันครับนี่”
“ไอ้เวอร์...” พี่ชายทั้งสองกล่าวขึ้นพร้อมกันแล้วส่ายหน้ากับอาการของน้องชาย...
“แหม ทำอย่างกับตัวเองไม่เคยเป็นอย่างผม พวกพี่น่ะเป็นมากกว่าผมอีกนะครับ ผมนี่แค่เบาะๆ เบาๆ อาการคล้ายๆ พวกพี่ตอนจะมีเมียเท่านั้นล่ะครับ...”
“เฮ้ย ฉันไม่ได้มีอาการยิ้มไม่หุบเหมือนคนบ้าอย่างนายนะไอ้โดม” อัคราปฏิเสธเสียงแข็งไม่ยอมรับ
“ฉันก็ด้วย ฉันไม่ได้เป็นแบบนี้” อัคนีก็แย้งทั้งที่เขานั่นล่ะอาการหนักกว่าใคร
“แต่พวกพี่เป็นหนักกว่านี้เพราะเมียหนี เมียเชิดใส่ น่ะสิ เลยไม่เข้าใจว่าการที่เมียเต็มใจจะแต่งงานงานด้วยเป็นแบบไหน อย่างว่าล่ะนะ เสน่ห์ของคนเรามันต่างกัน ผมน่ะแต่งงานกันด้วยความรักที่เปิดเผยจริงใจไม่ขี้เก๊ก ไม่เหมือนพี่ๆ หรอก ท่ามาเรื่องเยอะจนเมียพาหอบลูกหนีเดือนร้อนงอนง้อกันอุตลุด”
“ไอ้โดม พูดแบบนี้หาเรื่องนี่หว่า ไอ้นี่มันปีนเกลียวพี่ แบบนี้ต้องโดนนน...” ว่าแล้วสามพี่น้องแห่งดีแลนด์ที่ความเหล่าเหลาแข็งแกร่งไม่เป็นรองกันก็พากันวิ่งไล่จับเหมือนเด็กชายวัยเก้าขวบสิบขวบมากกว่าชายหนุ่มที่อายุอานามก็ต่างเลยเลขสามกันมาแล้วหลายปีทั้งนั้น...
“ดูเอาเถอะ เล่นกันเป็นเด็กๆ” ยอดรัก ภรรยาของอัคราซึ่งกำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรกได้แปดเดือนแล้วกล่าวยิ้มๆ กับบารนีภรรยาของอัคนีซึ่งจูงลูกน้อยคนที่สอง น้องนาเดียร์ หรือ หนูเดียร์ วัยสามขวบออกมาเยี่ยมหน้ามองบรรดาสามีที่รัก
“ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ พวกไม่รู้จักโต” สองสาวหัวเราะให้กัน หนูน้อยนาเดียร์นึกสนุกที่เห็นคุณพ่อ คุณลุงและคุณอาเล่นสนุกกันอยู่บนสนามหญ้าก็สะบัดมือเล็กๆ ออกจากอุ้งมือคุณแม่คนสวยแล้ววิ่งตื๋อไปร่วมวงด้วย นี่ถ้าหาก พี่บูม พี่ชายของเธออยู่ก็คงจะสนุกไม่น้อย หนูน้อยคิดพลางหัวเราะวิ่งตึงๆ เข้าไปหาคุณพ่อเดียวของตน...
“คุงพ่อเดียวขา หนูเดียร์เล่นด้วย...” แล้วในสนามหญ้าก็มีเด็กสี่คนวิ่งเล่นกันวุ่นวายทั้งบ้านหลังใหญ่ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ...
ทางด้านชลิตาเมื่อรับชุดเจ้าสาวและแยกกับบารนีซึ่งกลับไปถึงบ้านนานแล้วเธอก็แวะทำธุระส่วนตัวของตนที่ห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านด้วยความสุข หญิงสาวรับสายคนรักเมื่อเห็นว่าอัครวัฒน์โทร. มา
“ค่า ว่าที่สามีสุดหล่อ มีอะไรคะ”
“หนูเล็กอยู่ไหนแล้วทำไมยังไม่ถึงบ้านครับ นี่น้องบีก็มาถึงบ้านตั้งนานแล้วนะ ทำไมที่รักยังไม่เข้าบ้านครับ”
“หนูเล็กทำสปาอยู่ค่ะ อีกครึ่งชั่วโมงค่ะ แหม ใกล้ๆ บ้านแค่นี้เอง ขอหนูเล็กทำสวยก่อนสิคะ”
“แต่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะครับหนูเล็กห้างจะปิดแล้ว รู้ไหมพี่เป็นห่วง เอาเป็นว่าพี่จะไปหาที่ร้าน โอเคไหม...” ชายหนุ่มถามอย่างรู้สึกกังวลชนิดที่ว่าไม่เคยเป็นมาก่อน...
“ไม่ต้องๆ ค่ะ หนูเล็กเสร็จแล้ว อีกนิดเดียว พี่โดมน่ะทำอย่างกับหนูเล็กเป็นเด็กๆ หนูเล็กรู้ค่ะว่าเป็นห่วง เดี๋ยวจะรีบกลับนะคะ ถึงบ้านแล้วหนูเล็กจะโทร. หานะคะที่รัก...” หญิงสาวรีบบอกเขายิ้มๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเองก็กำลังจะเดินไปที่รถยนต์ของตนแต่อยากจะแกล้งให้เขาเป็นห่วงเล่นๆ เท่านั้น
“นี่แกล้งพี่ใช่ไหมครับ”
“เปล่าเสียหน่อยค่ะ หนูเล็กน่ะมาถึงรถแล้ว แค่นี้นะคะ หนูเล็กกำลังจะขับรถค่ะ...” หญิงสาวบอกคนรักพลางวางสายแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถยนต์ แต่วินาทีที่เธอกำลังจะปิดประตูรถยนต์นั้นเองก็มีมือปริศนานำผ้าสีขาวที่มีกลิ่นฉุนโป๊ะมาที่จมูกของเธออย่างรวดเร็ว ไม่ช้าทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายของเธอก็เริ่มดำมืดลงทีละน้อยๆ
... นี่เธอกำลังโดนลักพาตัวใช่ไหม... หญิงสาวถามตัวเองในขณะที่สติที่มีอยู่น้อยนิดกำลังจะดับหายไป พี่โดมขา ช่วยหนูเล็กด้วย...
อัครวัฒน์ผุดลุกผุดนั่งกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงกว้างเมื่อมองดูเวลาแล้วชลิตาก็ไม่โทร. กลับมาเสียทีซึ่งปกติแล้วพวกเขาจะต้องโทรศัพท์คุยกันก่อนนอนและชลิตาก็บอกเขาว่ากำลังจะกลับบ้าน ซึ่งหากว่าเธอทำธุระที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ บ้านของเธอนั้นจะใช้เวลาเพียงสิบนาทีเท่านั้นชลิตาก็จะถึงบ้านแล้ว แต่นี่ผ่านไปเป็นชั่วโมงแล้วเธอก็ยังไม่โทร. กลับมา อีกทั้งเมื่อเขาโทร. ไปโทรศัพท์ของชลิตาก็เป็นบริการฝากหมายเลขโทร. กลับเมื่อโทรศัพท์ไปสอบถามคุณลุงคุณป้าของเธอก็พบว่าชลิตาก็ยังมาไม่ถึงบ้านยิ่งทำให้เขากังวล...
“แดนนี่ ดาเนี่ยล เข้ามาหาฉันที่ห้องด่วน...” ชายหนุ่มโทรศัพท์เรียกบอดีการ์ดคนสนิททั้งสองของตนมาพบทันทีเมื่อเรื่องราวส่อเค้าว่าไม่ดี
“ครับคุณโดม...” ไม่ถึงสามนาที ทั้งแดนนี่และดาเนียล สองบอดีการ์ดหนุ่มหน้าตายก็มาอยู่ตรงหน้าเขา
“แดนนี่นายไปตามดูสิว่าคุณหนูเล็กอยู่ที่ห้างรึเปล่า ส่วนดาเนียลไปสืบหาว่าตอนนี้คุณหนูเล็กไปที่ไหนกับใครต่อ ทำไมถึงยังไม่ถึงบ้านและฉันต้องรู้ทุกอย่างภายในสามสิบนาทีนี้... และคำตอบต้องเป็นคำตอบน่าฟังด้วย...” สิ้นคำสั่งทั้งสองหนุ่มก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
อัครวัฒน์ขบกรามแน่นเมื่อความรู้สึกของเขามันแปร่งปร่าไปจนอึดอัด เขาไม่ได้ระแวงว่าชลิตาจะแอบไปพบใครนอกจากเขาแต่เขาเป็นห่วงเธอเสียมากกว่า... มีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับชลิตา ใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มพรายอย่างเริงรื่นอยู่เสมอนั้นเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีพลางหยิบโทรศัพท์เพื่อโทร. สอบถามบารนีผู้เป็นพี่สะใภ้ของตนอีกครั้งและเพื่อนคนอื่นๆ ของชลิตาเพื่อสอบถามว่าเธออยู่กับเพื่อนคนไหนหรือไม่อย่างไร...
