มนต์รักแดนทะเลทราย

105.0K · จบแล้ว
กานจ์แก้ว
41
บท
16.0K
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“เจ้ายังไปไหนไม่ได้ ข้ายังไม่ได้บอกให้เจ้าไป เจ้าก็ยังไปไม่ได้” “แต่หม่อมฉันยังมีงานค้างอยู่นะเพคะ หม่อมฉันทูลลาเพคะ” เซร่าตั้งท่าจะเดินหนีแต่วรกายสูงก็เข้ามาขวางหน้าหญิงสาวเอาไว้ แล้วดึงร่างบางเข้าไปใกล้จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของโคโลญจากวรกายแกร่ง เซร่ารีบขืนออกห่าง “เก่งจริงนะ กล้าขัดคำสั่งข้างั้นหรือ!” สุรเสียงเข้มเน้นลอดไรพระทนต์ออกมา แล้วกระตุกร่างบางเข้าสู่อ้อมพระกร “ถ้าไม่อยากอายคนอื่นละก็ปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้นะเพคะ!” เซร่าตวาดเสียงแข็งพร้อมกับจ้องพระพักตร์คมอย่างเอาเรื่อง “ข้าก็อยากลองเหมือนกันว่าเจ้าจะทำอะไรให้ข้าอายได้” รอยแย้มพระสรวลอย่างยั่วๆ คลี่ออก นางกำนัลสาวถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความโมโห แล้วครู่ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มที่มุมปากแทน และยังไม่ทันที่เจ้าชายหนุ่มจะได้ระวังตัว หญิงสาวก็กระแทกเข่าขึ้นใส่ท้องน้อยของราชนิกุลหนุ่มเต็มแรง เจ้าชายจอร์แดนผละห่างจากหญิงสาวทันที ก่อนจะนั่งลงในท่าคุกเข่าเอามือกุมที่ท้องน้อย ตัวงอราวกับกุ้งถูกเผา พระพักตร์แดงก่ำด้วยความเจ็บและจุก เซร่ายืนหัวเราะเยาะอย่างสะใจก่อนจะย่อตัวลงเพื่อทูลลา แล้วรีบวิ่งหนีไป “เจ้า...โอ๊ย...ฝากไว้...ก่อนเถอะ” เจ้าชายหนุ่มเงยพระพักตร์ขึ้นมองตามหลังร่างบางไปพร้อมกับชี้นิ้วคาดโทษหญิงสาวเอาไว้

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักนางกำนัลพระเอกเก่งพลิกชีวิตเศรษฐีโรแมนติก

ตอนที่ 1 ข้าคือเจ้าชาย

สนามบิน กลาง ประเทศมาราคัต ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมาจากทางเดินผู้โดยสารขาออก ด้วยความสูง 175 เซนติเมตร บวกกับใบหน้ารูปไข่ จมูกโด่ง จึงเป็นที่สนใจของสาวๆ ในบริเวณนั้น เขาส่งยิ้มให้บรรดาสาวๆ เหล่านั้น แล้วเดินตรงออกไปที่หน้าอาคารผู้โดยสาร ซึ่งมีรถรีมูซีนสีดำจอดคอยอยู่

อาเหม็ดทำความเคารพชายหนุ่มร่างสูงก่อนจะเปิดประตูด้านหลังให้เขาขึ้นไปนั่ง แล้วตนเองก็ขึ้นนั่งด้านหน้าข้างกับคนขับ

“ทางนี้เป็นอย่างไรบ้างอาเหม็ด ทุกคนสบายดีหรือเปล่า” เจ้าชายจอร์แดนรับสั่งถามองครักษ์หนุ่มเมื่อรถแล่นออกมาได้ประมาณ 3 นาที

“ทุกพระองค์สบายดีพะย่ะค่ะ” อาเหม็ดหันมาก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อกราบทูล แล้วนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะทูลถามต่อราชนิกุลหนุ่ม

“ฝ่าบาทกลับมาครั้งนี้จะอยู่กี่วันพะย่ะค่ะ”

“คงประมาณครึ่งเดือน”

“แต่มหาลัยปิดตั้งหนึ่งเดือนไม่ใช่หรือพะย่ะค่ะ” อาเหม็ดขมวดคิ้วอย่างสงสัย

“ข้าต้องกลับไปเตรียมงานส่งอาจารย์นะ”

“ฝ่าบาทกลับมาคราวนี้เจ้าหญิงจัสมินคงดีพระทัยมากนะพะย่ะค่ะ ทรงรับสั่งถึงฝ่าบาทตลอดเลย” องครักษ์หนุ่มทูลบอกพร้อมกับคลี่ยิ้ม

เจ้าชายจอร์แดนทรงพระสรวลในลำคออย่างนึกขำเมื่อนึกถึงใบหน้าเล็กๆ ของหลานสาวจอมแก่น จากนั้นก็ทรงเอนตัวพิงกับเบาะหนังแท้อย่างดีพร้อมกับทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่างรถ พระองค์กลับมาที่นี่ครั้งล่าสุดเมื่อต้นปีที่แล้ว เหลืออีกแค่ปีเดียวพระองค์ก็จะเรียนจบปริญญาตรีสาขาการออกแบบแล้ว และพระองค์ตั้งใจที่จะเรียนต่อปริญญาโทในสาขาเดียวกันต่อไปอีกด้วย

รถรีมูซีนคันใหญ่แล่นมาจอดหน้าพระตำหนักหลวงซึ่งเป็นที่ประทับขององค์สุลต่านกับพระชายา เจ้าชายจอร์แดนเสด็จก้าวลงจากรถแล้วเดินขึ้นตำหนักตรงไปยังที่ห้องกลางซึ่งเป็นห้องที่เหล่าราชวงศ์จะมานั่งสนทนากัน

ภายในห้องมีองค์สุลต่านอัลบาฮาและพระชายาศิริรัตน์ประทับอยู่ พร้อมด้วยพระเชษฐาทั้ง 3 พระองค์

“เจ้าสบายดีนะลูกพ่อ” สุลต่านอัลบาเสด็จเข้ามากอดพระโอรสองค์เล็กเอาไว้ด้วยความคิดถึง

“ลูกสบายดีพะย่ะค่ะ แล้วท่านพ่อล่ะสบายดีหรือเปล่าพะย่ะค่ะ” เจ้าชายจอร์แดนแย้มพระสรวลกว้าง

“พ่อสบายดี” ทรงตบพระหัตถ์ลงบนบ่ากว้างของพระโอรสพร้อมกับแย้มพระสรวล แล้วเสียงของเจ้าหญิงจัสมินก็ดังขึ้น

“เสด็จอากลับมาแล้ว” เจ้าหญิงจัสมินวิ่งเข้ามากอดแขนของผู้เป็นอาเอาไว้ด้วยความดีพระทัย

“เจ้าสบายดีหรือเปล่า?” เจ้าชายหนุ่มคว้าตัวหลานสาวมาสวมกอด

“หญิงสบายดีเพคะ หญิงได้เลื่อนชั้นแล้วนะเพคะ” เจ้าหญิงจัสมินรับสั่งอวดผู้เป็นอาด้วยสีพระพักตร์ภาคภูมิใจ

“เก่งจริงๆ หลานอา แล้วเชื่อฟังคุณครูหรือเปล่า?” ราชนิกุลหนุ่มบีบปลายพระนาสิกของพระนัดดาอย่างเอ็นดู “เชื่อฟังค่ะ” เจ้าหญิงจัสมินพยักพระพักตร์รับ จากนั้นเจ้าชายจอร์แดนจึงอุ้มหลานสาวขึ้นมา

ก่อนจะเสด็จไปประทับนั่งลงข้างๆ พระเชษฐาอัลฟาฮา แล้วรับสั่งถามอย่างยิ้มๆ

“ท่านพี่สบายดีกันหรือเปล่าพะย่ะค่ะ”

“พวกพี่สบายดี” เจ้าชายอัลฟาฮาแย้มพระสรวลให้พระอนุชา

“เจ้าจะอยู่ซักกี่วันล่ะ” เจ้าชายการีฟเลิกพระขนงสูงเป็นเชิงถาม

“ก็คงประมาณ 2 อาทิตย์ ข้าอยากพักผ่อนสมองบ้าง” เจ้าชายจอร์แดนทูลตอบ ผู้เป็นพระเชษฐาจึงพยักพระพักตร์รับ

“แล้วเรื่องเรียนเป็นอย่างไรบ้างมีปัญหาอะไรไหม” อัลบาฮาถามบุตรชาย

“ไม่มีพะย่ะค่ะ”

“ข้าว่าให้จอร์แดนไปพักผ่อนก่อนดีกว่าแล้วเราค่อยมาคุยกันทีหลัง” เจ้าชายอิสยาสเสนอขึ้นเมื่อเห็นน้องชายมีท่าทางอ่อนเพลีย

“นั่นซิเจ้าไปพักผ่อนเถอะแล้วคืนนี้เราค่อยคุยกัน”องค์สุลต่านรับสั่งพร้อมกับพยักพระพักตร์มาทางพระโอรสองค์เล็ก

“พะย่ะค่ะ ถ้างั้นลูกทูลลาพะย่ะค่ะ” ราชนิกุลหนุ่มวางหลานสาวลงบนพื้นแล้วลุกขึ้นโค้งต่ำให้พระบิดา ก่อนจะเดินออกไป

เจ้าชายจอร์แดนเสด็จผ่านมาทางใต้ต้นอโศกต้นใหญ่ที่กำลังออกใบอ่อนเต็มต้น พระองค์ยังจำได้ดีว่าตอนที่หนีพี่เลี้ยงของพระองค์มา พระองค์ได้ปีนขึ้นไปแอบบนต้นอโศกต้นนี้แหละ แล้วมดแดงก็กัดจนตกลงมาขาเคล็ดไปหลายวัน

“โอ้ย! ไอ้มดบ้านี่กัดอยู่ได้ ข้าขอยอดอ่อนไม่กี่ยอดเองพวกเจ้าจะห่วงไปทำไม!”

เสียงผู้หญิงที่ดังหมาจากบนต้นอโศกทำให้เจ้าชายหนุ่มต้องเงยพระพักตร์ขึ้นไปมอง แล้วก็ทรงเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวๆ 17-18 ปีกำลังปัดมดออกจากแขนและตัวเป็นพัลวัน

“นั่นเจ้าพูดกับใครนะ? แล้วขึ้นไปทำอะไรบนนั้น?” เจ้าชายหนุ่มรับสั่งถามพร้อมกับยกพระหัตถ์ขึ้นเท้าเอวอย่างสงสัย

ฝ่ายเซร่าก็ถึงกับสะดุ้งเมื่อก้มลงมามองแล้วก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนมองเธออยู่ หญิงสาวรีบรวบชายกระโปรงเข้ามารวมกันพร้อมกับถลึงตาใส่คนด้านล่างอย่างไม่พอใจ

“เฮ้ย! นายเป็นใครแล้วเขามาที่นี่ได้ยังไง อย่ามองขึ้นมานะ ไอ้บ้า! ไอ้ลามก!” เซร่าด่าระรัว ก่อนจะค่อยๆ ปีนลงมา แล้วยืนเท้าเอวมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง

“ว่าไงนายเป็นใคร ดูจากการแต่งตัวแล้วไม่ธรรมดาเลยนะหรือว่าเป็นแขกขององค์สุลต่าน” นางกำนัลสาวมองสำรวจอีก่ายอย่างรวดเร็ว จอร์แดนนึกขำกับท่าทางจอมแก่นของนางแต่ก็ยังคงยืนมองร่างบางนิ่งอย่างยั่วโทสะ และเมื่อเจ้าชายหนุ่มนิ่ง สาวเจ้าก็ทำหน้าบึ้งใส่แล้วตะคอกถามออกไปอีกครั้ง

“ว่าไงล่ะ! ถ้าไม่ตอบข้าจะเรียกทหารมาลากเจ้าออกไป!” แต่แล้วครู่ต่อมาคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่นเมื่อสังเกตผู้ชายตรงหน้าอย่างละเอียด “แต่ว่าข้ารู้สึกคุ้นๆหน้าของเจ้านะเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน” หญิงสาวทำท่าครุ่นคิด จนกระทั่งมีนายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามา

“เกิดอะไรขึ้นพะย่ะค่ะเจ้าชาย”

เซร่าถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจแล้วขาของเธอก็หมดแรงนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของเจ้าชายหนุ่มพร้อมกับอุทานเสียงแผ่ว

“เจ้าชาย...”

“ก็ใช่นะซิ พระองค์คือเจ้าชายจอร์แดน เจ้าไม่รู้จักหรือไง” ทหารนายนั้นหันมาขมวดคิ้วถามนางข้าหลวงสาว

“มะ...หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉัน....” เซร่าพูดอะไรไม่ออก เธอกลัวอย่างที่ไม่เคยกลัวมาก่อน ‘มิน่าล่ะหน้าคุ้นๆ’ นางกำนัลสาวคิดในใจพร้อมกัลป์ลอบกลืนน้ำลายลงคอ เธอเคยเห็นเขาเมื่อปีที่แล้วประมาณ 2-3 ครั้งได้

“เจ้าขึ้นไปทำอะไรบนต้นไม้นั่น? แล้วคุยกับใคร?” ราชนิกุลหนุ่มรับสั่งถามด้วยสีพระพักตร์ที่ราบเรียบไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเคืองหรือไม่พอพระทัยอีก่ายแต่อย่างใด

“หม่อมฉัน เอ่อ ” หญิงสาวอึกอักเหมือนคนติดอ่าง

“เอ่ออะไร ถ้าไม่พูดข้าจะสั่งลงโทษเจ้า ตัดมือหรือตัดหัวดีนะ” ราชนิกุลหนุ่มรับสั่งขู่ และมันก็ได้ผล เซร่ารีบทูลตอบเสียงสั่น

“หม่อมฉันปีนขึ้นไปเก็บยอดอโศกมาผัดกินเพคะ และไอ้ที่คุยก็คุยกับมดเพคะ”

“เจ้าคุยกับมดรู้เรื่องด้วยหรือ ข้าเพิ่งรู้นะเนี่ย” เจ้าชายจอร์แดนทรงพระสรวลอย่างขำๆ เซร่าถึงกับหน้าแดงด้วยความอายระคนโมโห

“พระองค์คิดว่าหม่อมฉันบ้าหรือเพคะ” นางกำนัลสาวจ้องพระพักตร์คมเขม็ง

“ใช่...เอ้ย...ไม่ใช่ ข้าคิดว่ามันแปลกดีก็เท่านั้นเอง” เจ้าชายหนุ่มอมยิ้มก่อนจะหันมารับสั่งกับทหาร “ไม่มีอะไรแล้วเจ้าไปเถอะ”

“พะย่ะค่ะ” นายทหารโค้งต่ำลงแล้วทูลลาเดินกลับไปทางเก่า เซร่ามองตามหลังทหารนายนั้นไปก่อนจะลุกขึ้นบ้าง แต่เท้าที่กำลังจะก้าวเดินออกไปก็ต้องชะงักลง

“เดี๋ยวซิ!...นั่นเจ้าจะรีบไปไหน? ข้ายังไม่ได้อนุญาต” พระขนงเข้มเลิกสูงขึ้น

“หม่อมฉันหรือเพคะ” เซร่าชี้นิ้วมาที่ตัวเอง

“ก็ใช่นะซิหรือเจ้าคิดว่ามีคนอื่นอีก”

“ฝ่าบาทต้องการอะไรอีกเพคะ?” นางกำนัลสาวนั่งลงที่เดิม

“เจ้าชื่ออะไร?” พระหัตถ์ใหญ่ยกขึ้นกอดพระอุระ สายพระเนตรทอดมองไปยังร่างบางนิ่ง

“ชื่อเซร่าเพคะ ทรงถามทำไมเพคะ?” เซร่าขมวดคิ้วมุ่นอย่างงุนงง

“ท่าทางเจ้าไม่น่าจะเป็นผู้หญิงเลยน่าจะเป็นผู้ชายมากกว่า ยังกับม้าดีดกะโหลก” ราชนิกุลหนุ่มพระสรวลในลำคออย่างเยาะๆ ก่อนจะเสด็จออกมาจากบริเวณนั้นอย่างอารมณ์ดี

เซร่าเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะพึมพำออกมาอย่างหงุดหงิด “ฝ่าบาทก็ดีนักนี่ คนไม่มีมารยาท ไม่กงไม่กินมันแล้วเสียอารมณ์” นางกำนัลสาวตวัดสายตาค้อนตามแผ่นหลังกว้างของเจ้าชายหนุ่มไปก่อนจะเดินกระแทกเท้ากลับเข้าห้องอย่างหัวเสีย

จูดาขมวดคิ้วมองหน้าหลานสาวที่เดินเข้ามานั่งลงข้างๆ ก่อนจะถามออกไปอย่างสงสัย

“เป็นอะไรมาอีกล่ะ ใครเขาแหย่จมูกมาอีกหรือไง”

“เปล่าค่ะ” เซร่าตอบสั้นๆ เพราะถ้าขืนบอกว่าไปปีนต้นไม้มา แถมยังไปด่าเจ้าชายจอร์แดนอีกมีหวังป้าเธอเฆี่ยนเธอตายแน่ๆ จูดาคือหัวหน้านางกำนัลและเป็นญาติของบิดาของเธอด้วย เธอจึงเกรงกลัวเป็นพิเศษ

“ท่านป้าข้าถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ?” นางกำนัลสาวพยายามเปลี่ยนความสนใจของผู้เป็นป้าไปจากตัวของเธอ

“ถามอะไรของเจ้าอีก ปัญหาเยอะเหลือเกินนะเจ้าน่ะ” จูดามองหน้าหลานสาวพร้อมกับนิ่วหน้า

“ท่านแม่ของข้ากับท่านพ่อข้าทำไมถึงได้แยกกันอยู่แบบนี้คะ?” เซร่ามองสบสายตากับผู้เป็นป้าอย่างจริงจัง เธอไม่เคยเห็นหน้าแม่เลย แหมแต่รูปก็ไม่มีให้ดู บิดาบอกแต่เพียงว่าที่ต้องแยกกันอยู่นั้นเพราะมีความจำเป็นบางอย่าง

“มันเรื่องของผู้ใหญ่เขา เจ้าไม่สมควรที่จะรู้ เจ้ายังเด็กอยู่” จูดามองหน้าหลานสาวแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก ถ้าเด็กสาวจะรู้เรื่องแม่ก็ควรจะรู้จากปากของผู้เป็นพ่อเองจะดีกว่า

“ข้าไม่เด็กแล้วน่ะ ข้าโตเป็นสาวแล้วด้วย” เซร่าลุกขึ้นแล้วหมุนตัวไปรอบๆ

“ถ้าเจ้าโตแล้วทำไมถึงยังชอบปีนป่ายต้นไม้แบบเด็กๆ อีกล่ะ”

“ท่านป้าเห็นหรือคะ” เซร่ามองหน้าจูดาอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้

“ข้าไม่ได้เห็นเองแต่มีคนมาบอกข้าว่าเจ้าแอบไปปีนต้นไม้หลังวังเล่น อย่าคิดว่าเจ้าเป็นหลานข้าแล้วจะไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าน่ะ” จูดาลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบไม้มาตีที่ขาของเซร่าข้างละ 2 ที

เซร่าโดนจนชินแล้วจึงไม่คิดวิ่งหนี ยืนให้ผู้เป็นป้าตีง่ายๆ แต่เธอก็รู้สึกโล่งใจที่ป้าของเธอไม่รู้เรื่องที่เธอต่อปากต่อคำกับเจ้าชายจอร์แดน นี่ก็แสดงว่าทหารคนนั้นไม่ได้พูดอะไร

“ข้าละเหนื่อยกับเจ้าจริงๆ ไป! เจ้ากลับไปดูแลพระชายาได้แล้ว เดี๋ยวพระนางจะเรียกหา” จูดาทำสีหน้าดุดันใส่ เซร่าหันมาทำหน้างอใส่อีกฝ่ายก่อนจะเดินสะบัดสะโพกออกไป