ตอนที่ 2
ปริ๊น! ปริ๊น! ปริ๊น!
“แม่ครับ... แม่ครับ”
“อะ! ว่าไงครับลูก”
ปริ๊น!
“โอ๊ะ! ขอโทษค่ะ ขอโทษค่ะ”
มนทิพย์ก้มศีรษะขอโทษขอโพยรถที่วิ่งแซงออกไป เจ้าของรถที่ผ่านไปมองมาด้วยสีหน้าบูดบึ้งที่ชั่วโมงเร่งด่วนแบบนี้ยังมีคนมาขับรถหลับใน แต่เมื่อมองมาเห็นคนขับสาว ใบหน้าบึ้งๆ นั้นก็ต้องแปรเปลี่ยนเป็นเหวอๆ แบบไม่อยากเชื่อสายตาที่จะมาเจอนางฟ้าแต่เช้า ยิ่งเห็นอาการก้มศีรษะขอโทษขอโพยนั้น ภาษาปากที่บอกมาว่าไม่เป็นไรก็ได้รอยยิ้มพิมพ์ใจกลับไปแทน เล่นเอาหัวใจหนุ่มคนขับพองโตแต่เช้า
“แม่ครับ... ใกล้ถึงโรงเรียนแล้วครับ”
“อ๋อ... จ้ะ”
เด็กชายพฤกษ์เอียงศีรษะมองหน้ามารดาอย่างแปลกใจ แววตาคมเข้มที่ถอดแบบมาจากผู้ชายที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำเสมอนั้นมองตรงมาที่มารดาอย่างต้องการคำตอบที่คาดคิดว่ามารดาย่อมรู้ว่าเขาอยากรู้เรื่องอะไร
“แม่ขอโทษจ้ะน้องพฤกษ์ แม่มีเรื่องต้องคิดหลายอย่าง ขอโทษนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ขึ้นไปส่งที่ห้องนะ”
ใบหน้างามผินมองเจ้าของใบหน้าน้อยๆ ที่ละม้ายคล้ายคลึงเขาคนนั้นเพียงครู่ แล้วรีบละสายตามองด้านหน้าก่อนจะตีไฟเลี้ยวเข้าโรงเรียนอนุบาลมีชื่อแห่งหนึ่ง
“น้องพฤกษ์มาลูก แม่อุ้ม”
“ไม่ต้องหรอกครับแม่ พฤกษ์โตแล้ว”
อาการเบี่ยงตัวหลบไม่ให้มารดาอุ้มทำให้มนทิพย์รู้สึกใจหายวูบ “แม้แต่ลูกก็ไม่อยากยุ่งกับเรา” อาการเสียววูบที่แล่นกระทบใจอย่างแรงทำให้ใบหน้างามชะงักงันยกมือค้างอยู่อย่างนั้น
“แม่ครับ พฤกษ์ขอโทษครับ พฤกษ์เพียงไม่อยากให้แม่เหนื่อย”
แววเสียใจปรากฏในดวงตาคมเข้มเกินวัยคู่นั้น เมื่อฝ่ามือน้อยๆ เอื้อมมาสัมผัสใบหน้าทำให้มนทิพย์ผวาเข้ากอดลูกในทันที ความอบอุ่นที่เธอโหยหาจากเขาราวกับว่าจะซึมซับผ่านเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อยๆ ที่เขาทำเหมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
“แม่ครับ... บาดแผลจากหัวใจก็ต้องใช้หัวใจรักษา พ่อเขา... รักแม่นะครับ พฤกษ์เป็นผู้ชายเหมือนพ่อ พฤกษ์รู้”
“จะจ้า... พ่อคนเก่งของแม่ ไปห้องเรียนกันเถอะ เดี๋ยวสายนา...”
สิ่งที่ลูกพูดทำให้เธอต้องเรียกสติของตัวเองให้กลับมา “ต่อหน้าลูก...ไม่ควรจะอ่อนแอ” ฝ่ามือที่เอื้อมมาจับจูงฝ่ามืออ้วนป้อมของลูกชายดูจะสั่นเทาเล็กน้อย อีกครั้งแล้วที่น้องพฤกษ์มักจะพูดจาด้วยคำแปลกๆ
เด็กชายวัย 6 ปีที่ฉลาดเกินวัยและมักจะพูดจาหรือคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่กว่าตัวเสมอ จนบางครั้งก็ทำให้มนทิพย์รู้สึกเกรงๆ บุตรชายตัวน้อยของตนเองอยู่เหมือนกัน จะเป็นเหมือนที่มารดาเธอเคยบอกไว้หรือไม่ว่า “พฤกษ์เหมือนเด็กที่ดูจะระลึกชาติได้ หรือไม่ก็ดวงจิตเก่ายังคงติดค้างอยู่” ทำให้เขาเหมือนมีบุคลิกของผู้ใหญ่อีกคนซ่อนอยู่ บางครั้งก็ดูซุกซนช่างซักช่างถามเหมือนเด็กทั่วไป แต่บางครั้งก็เหมือนมีอะไรที่ต้องครุ่นคิด และคำพูดแปลกๆ อีกเล่า มันเกินที่เด็กวัย 6 ปีจะคิดจะพูดได้
“ใช่ครับ พฤกษ์เป็นพ่อคนเก่งของแม่”
“อ่ะ... อะไรเหรอลูก”
“ไม่มีอะไรครับแม่ ไปกันเถอะ เดี๋ยวครูปาล์มดุพฤกษ์แย่”
“จ้า... พ่อหมูน้อย”
แววตาคมเข้มที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อวูบไหวก่อนจะรีบปรับเปลี่ยนให้เป็นเฉกเช่นเด็กประถม 1 ทั่วไป ร่างอ้วนป้อมเดินตามผู้เป็นแม่จับจูงไปยังชั้นเรียนด้านบน
“วันพรุ่งจะได้พบกันอีกหรือไม่”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยออกมาจากเด็กหนุ่มหน้าตาดีตรงหน้า มันช่างสร้างอาการวูบวาบวูบไหวไปมาทั่วทั้งร่างกายโดยเฉพาะแก้มนวลนั้นเธอรู้ดีว่ามันคงจะแดงระเรื่อไปหมดแล้ว
“ไม่รู้ น้องไม่รู้ค่ะ ว่าคุณพ่อท่านจะอนุญาตให้ออกมาหรือเปล่า”
น้ำเสียงที่เปล่งออกไปมันไม่ใช่เสียงของเธอเลย แต่ทำไมนะเธอถึงรู้สึกว่านั่นเป็นตัวเธอ เป็นเธอเองที่กำลังพูดกำลังเจรจาอยู่กับเด็กหนุ่มคนนั้น
“อย่างนั้นเสีย อย่างไรจะเจอกันอีกได้เล่า” แววตาหม่นเศร้าที่เจืออยู่เต็มดวงตาคมเข้มคู่นั้น มันช่างทำให้เธอรู้สึกเสียววูบเข้าสู่กลางหัวใจ ทำอย่างไรดีหนา... จึงจะได้มาพบเขาอีกครั้ง
“คุณนพ... เอ่อ... จะเดินทางวันไหนกันคะ”
เขา... เขาชื่อคุณนพ เดินทาง... เขาหรือจะเดินทางไปไหนกัน อะไรทำให้เธอเอ่ยถามเขาอย่างนั้น เธอรู้หรือว่าหนุ่มน้อยนี่จะเดินทางไปไหน
“ข้างขึ้น 1 ค่ำที่จะถึงนี้แหละจ้ะ หากพี่ไม่ได้พานพบหน้าน้องอีกครั้ง พี่คงไม่มีกระจิตกระใจที่จะเรียนต่อ”
น้ำเสียงเว้าวอนและฝ่ามืออุ่นที่หยิบฉวยฝ่ามือบอบบางไปนั้น แทบทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจวูบไหวไปเสียที่ตาตุ่ม เลือดลมดูเหมือนจะยิ่งสูบฉีดไปทั่วร่างมากยิ่งขึ้น เขาจะไปเรียนต่อ... ไปที่ไหนกัน
“เอ่อ... ปล่อยก่อนค่ะ หากใครมาเห็นเข้าคงไม่งาม” ฝ่ามือพยายามอย่างยิ่งที่จะบิดเร้าให้ออกจากการเกาะกุม แม้ใจจริงนั้นจะมิอยากให้เขาปล่อยเลยสักนิด
“ปาริชาต... น้องต้องสัญญานะ ว่าจะมาหาพี่ มาพบพี่อีกครั้งก่อนจะจาก น้องสัญญานะ ว่าจะมา อย่างไรเสียก็จะมาให้ได้ จากกันหนนี้มิรู้ว่าอีกกี่เดือนหรือกี่ปีที่จะพานพบ หากมิได้พบก่อนจาก... พี่นี้มิรู้ว่าจะหลับตาลงต่อไปได้อย่างไร”
ทั้งน้ำเสียง ทั้งแววตาจริงจังที่สื่อออกมานั้น มันทำให้เธอถึงกับปากคอสั่นทำอะไรไม่ถูก จะตอบรับหรือจะปฏิเสธอย่างไรได้
อุ๊บ...
