ตอนที่ 10
ดวงตาหวานเบิกโพลงท่ามกลางความแสงสลัวภายในห้อง ดวงตาคมเข้มคู่นั้น แววเปี่ยมรักฉายออกมาอย่างไม่ต้องการจะปกปิดเลยสักนิด ใจว่าอย่างไรดวงตาก็ฉายออกมาอย่างนั้น น้ำเสียงทุ้ม...นุ่มนวลยามเจรจาก็เหมือนด้วยเจรจากับหญิงที่รักยิ่งนัก คำพูดเย้ายวนมีชีวิตชีวาช่างสร้างความรู้สึกหวั่นไหววูบวาบไปทั่วทั้งร่างแม้ในยามฝันหรือในยามตื่น
“อย่ารู้สึกแบบนั้นเด็ดขาด มนทิพย์ เธอต้องไม่รู้สึกแบบนั้นกับเขา”
นั่นคือสิ่งที่ร้องบอกตัวเองในใจ แม้ในความฝันเธอก็ไม่อาจแบ่งใจให้เป็นสอง ดวงตาหวานวูบลงอย่างสำนึกได้ดีถึงมโนภาพที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อเติมเต็มความเจ็บปวดที่ได้รับจากโลกแห่งความเป็นจริง
“แต่ถ้าเขาเป็นเพียงมโนภาพที่เราสร้างขึ้น เขาก็ย่อมเป็นตัวแทนของคนที่เรารักในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ใช่หรือไง คนในโลกแห่งความเป็นจริงที่หลงลืมความรักนั้นไปแล้ว เขาที่เราสร้างขึ้นเพราะต้องการความรักจากใครบางคนบนโลกใบนี้... แล้วมันจะผิดอะไร”
“มันจะไม่ผิดถ้าเธอไม่คิดเปรียบเทียบ มันจะไม่ผิดถ้าเธอไม่คิดที่จะหนีจากโลกแห่งความเป็นจริง โดยใช้ชีวิตอยู่ได้เพราะความฝัน”
จิตสำนึกที่ให้เหตุให้ผลโต้ตอบกันไปมา ราวกับว่าในกายนี้มีหัวใจที่แยกออกเป็น 2 ดวง ดวงหนึ่งให้เหตุให้ผลในสิ่งที่คิด สิ่งที่ต้องการ โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมและความผิดบาป แต่อีกดวงหนึ่งกลับช่วยฉุดรั้งความคิดมิให้ล่วงละเมิดแม้เพียง “มโนทุจริต” ก็ไม่ควร
ลานจอดรถหน้าวัดพนัญเชิงดูจะหนาแน่นไปด้วยผู้คน ยิ่งในช่วงวันหยุดยาวอย่างนี้ดูเหมือนผู้คนจากทั่วสาระทิศต่างก็ตรงมากราบนมัสการองค์หลวงพ่อโตกันมากมาย ด้วยองค์หลวงพ่อโตแห่งวัดพนัญเชิงนั้น องค์พระท่านเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นองค์ใหญ่ที่สร้างในศิลปะแบบอู่ทองและปรากฏในหลักฐานว่ามีมาก่อนกรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี จึงทำให้เสมือนองค์พระใหญ่แห่งอยุธยานี้เปรียบประหนึ่งอยู่คู่กรุงศรีอยุธยามาแต่เก่าก่อน ผู้ใดมาถึงอยุธยาแล้วก็คงต้องหาโอกาสมากราบนมัสการองค์ท่านสักครั้งหนึ่งให้ได้
เพียงย่างเข้าโบสถ์หลังใหญ่ซึ่งเป็นที่ประดิษฐ์สถานขององค์ท่าน มนทิพย์ก็รู้สึกได้ถึงขนกายทั่วทั้งตัวลุกวาบขึ้นพร้อมๆ กัน สัมผัสบางอย่างกระทบเข้ากับจิตใจอย่างแรง องค์พระพุทธรูปองค์โตจรดเพดานโบสถ์ที่มองเห็นเต็มสองตาเบื้องหน้านี้เมื่อเทียบกับตัวตนแห่งมนุษย์แล้วนั้น เธอรู้สึกว่าตนเองนั้นไม่ต่างอะไรกับเศษเสี้ยวธุลี รังสีแห่งความเมตตาปรานีที่โอบล้อมอยู่รายรอบกายนี้เปรียบประหนึ่งความดีงามใดก็มิอาจเทียมเท่า ความงดงามเรืองรองสีทองสุกใสเปล่งประกายฉาบไล้พระวรกายองค์พระพุทธรูป งดงามมากเสียจนดวงตาคู่งามเผลอมีน้ำหล่อเลี้ยงด้วยความปลาบปลื้มใจที่ได้มาเยือน
ติกรานต์เดินแทรกเบียดกับผู้คนมากมายที่หลั่งไหลกันเข้ามาขอพรองค์พระท่านให้ปกปักรักษาคุ้มครอง อาศัยว่ามีรูปร่างสูงใหญ่ทำให้สามารถมองเห็นช่องทางเดินข้างหน้า มือข้างหนึ่งรุนหลังลูกชายให้ก้าวไปข้างหน้าในทิศทางที่เขามองเห็น ส่วนที่ข้างหนึ่งนั้นเอื้อมมาจับจูงคนตัวเล็กที่ดูท่าจะเข้าไม่ถึงแน่ๆ ให้ติดตาม
ดวงตาหวานตื่นเต้นแลเปล่งประกายความสุขที่ปิดไม่มิด ไม่คาดคิดว่าเขาจะสัมผัส ไม่คาดคิดว่าจะได้มีช่วงเวลานี้ด้วยกันอีกครั้ง ซีกหน้าด้านข้างของเขายังคงเงียบขรึมแม้จะไม่ได้หันมองมาแต่เธอก็รู้ว่าเขาเองก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกัน
สามคนพ่อแม่ลูกเข้าไปนั่งด้านหน้าองค์พระที่มีเหล่าญาติโยมและนักท่องเที่ยวมากมายนั่งรอคอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มบ้างแก่บ้างในชุดขาวราว 20 คน กระจายตามตำแหน่งต่างๆ ไปทั่วทั้งองค์พระ ทั้งคอยจัดคิวให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาในพิธี ทั้งคอยหยิบจัดผ้าสบงห่มองค์พระพับเรียงไว้เป็นผืน และมีอีกหลายคนที่ยืนอยู่บนพระเพลาแห่งองค์พระด้านบน
พิธีกรรมเริ่มขึ้นโดยมีคนสวดมนต์นำรับรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าต้องท่องตาม ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกเข้าร่วมในพิธีและท่องบทสวดมนต์ตามที่ผู้นำพาว่าไว้ เมื่อการสวดมนต์สิ้นสุด เหล่าชายชุดขาวได้นำผ้าสบงมามอบให้กับผู้ที่มีจิตศรัทธาบริจาคเงินทำบุญถวายผ้าสบงแด่องค์หลวงพ่อโต
ติกรานต์รับถาดที่บรรจุผ้าสบงสีเหลืองสดผืนใหญ่นั้นไว้ เสียงชายนำสวดยังคงมีต่อ ถาดอลูมิเนียมถูกเทินเหนือศีรษะพร้อมทั้งกล่าวคำถวายผ้า มนต์ทิพย์และลูกชายพนมมือกล่าวตาม เมื่อเสร็จพิธีถวายผ้า เหล่าชายชุดขาวก็เดินมารับเอาผ้าสบงนั้นไป ถาดอลูมิเนียมถูกส่งไปด้านข้าง ส่วนผ้าสบงถูกโยนขึ้นสู่องค์พระให้ชายชุดขาวหลายคนที่ยืนอยู่บนนั้นรับไว้เขาเหล่านั้นนำปลายข้างหนึ่งไปผูกโยงไว้ที่ห่วงวงกลมขนาดใหญ่รวมกันและชักรอกขึ้นไปประทับไว้ที่พระอังสาแห่งองค์พระพุทธรูป
ส่วนปลายอีกข้างหนึ่งถูกโยนลงมาหาคนที่นั่งร่วมพิธี นักท่องเที่ยวรีบคลี่มวนผ้าและคลุมไว้ที่ศีรษะต่อกันเป็นแถว ผ้าสบงมากมายกว่า 50 ผืนถูกผูกและโยนลงมาจนทำให้ผู้ร่วมในพิธีนี้อยู่ภายใต้การปกคลุมคุ้มครองแห่งใต้ร่มกาสาวพัสตร์
