บทนำ - บทที่ 1
เสียงคมดาบโลหะกระทบกันดังขึ้น หวีดเสียงเอ็ดตะโรของผู้รับมือ เสียงกรีดร้องตะโกนขอความช่วยเหลือของบรรดาคนใช้ในบ้านยิ่งส่งสัญญาณให้ทุกคนหวาดหวั่นสะพรึงกลัว เพราะรู้ว่าสิ่งเลวร้ายได้เกิดขึ้นแล้ว!
เสียงกรีดร้องด้วยความกลัวสุดขั้วหัวใจคละเคล้าเสียงครวญครางเจ็บปวดของคนที่ถูกคมดาบ ยิ่งเร่งเร้าให้นายหญิงของบ้านรู้ว่ามัวใจเย็นไม่ได้...
“ชาร์มาลูกรัก ดาเรีย อัลนาจาห์อิบราฮิมคือบุตรของไซคานเฉกเช่นเจ้า ก่อนที่เราจะออกเดินทางแม่อยากให้เจ้ารับปากแม่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าจะไม่ทอดทิ้งน้องสาวแห่งเจ้า”
ผู้เป็นมารดาเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เพราะพอจะรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอันใกล้ ความรีบร้อนปนอากัปกิริยาหวาดหวั่นหลากหลายอารมณ์ที่ประดังเข้ามานั้น ทำให้ชาร์มารู้ว่ามารดาของตัวเองกำลังกลัวเฉกเช่นกัน และมารดาต้องการให้เขาเดินทางไปกับบ่าวรับใช้ในบ้าน!
เด็กชายแก้มใสมองเด็กทารกหน้าตาน่ารักที่สวมสายสร้อยกับจี้รูปนกอินทรี ก่อนจะโผกอดผู้เป็นมารดาแน่นด้วยว่าไม่อยากร่วมเดินทางไปกับบ่าวรับใช้ ผู้เป็นนายหญิงของบ้านมองบุตรชายคนโตด้วยความรักและสงสารจับหัวใจ นางรั้งชาร์มาเข้ามากอดและจูบแก้มเด็กชายเบา ๆ
“เทวีแห่งแสงสว่างจักคุ้มครองเจ้าชาร์มา”
นางกล่าวอวยพรน้ำตานองหน้า เสียงเอะอะที่ดังใกล้ขึ้นเข้ามาทุกขณะ ยิ่งทำให้เลือดในกายของนางเย็นยะเยือก เสียงที่ได้ยินบอกให้นางรู้ว่า ‘โจรทะเลทราย’ ได้บุกเข้ามาถึงภายในบ้านแล้วและกองกำลังด้านนอกต้านไม่อยู่...
“ไปเร็วโรอาฟ พาชาร์มาไปหาท่านพี่!”
“แล้วนายหญิงล่ะขอรับ ใครจะอารักขา?” ชายผิวดำนามโรอาฟถามหน้าตาตื่นไม่แพ้ผู้เป็นนายหากแต่ต้องตั้งสติ
“หากเจ้าจงรักภักดีต่อครอบครัวเรา ทำตามคำสั่งของเราเดี๋ยวนี้ พาชาร์มาไป!”
เป็นคำสั่งเฉียบขาดที่ โรอาฟคนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ต้องจำใจทำตามด้วยความจำใจ โรอาฟอุ้มชาร์มาขึ้นขี่หลังแล้วกระโดดออกหน้าต่างโค้งฉลุลายไปอีกทางหนึ่งด้วยความรวดเร็ว โดยไม่สนใจเสียงทักท้วงของเด็กน้อยแต่อย่างใด
เมื่อโรอาฟหายไปกับความมืดของรัตติกาลแล้ว นายหญิงของบ้านก็ไม่รอช้า นางใช้เส้นทางเดียวกับโรอาฟเพื่อหลบหนีเช่นกัน ซึ่งสาเหตุที่นางไม่ฝากดาเรียไปกับโรอาฟเพราะทารกน้อยยังเล็กนักและยังต้องดื่มนมจากอกนาง มานาตีจึงเลือกที่จะเอาดาเรียไว้
ทว่าพ้นจากโค้งหน้าต่างออกมาได้ไม่ถึงสิบก้าวด้วยซ้ำ นางก็พบกับโจรทะเลทรายผู้โหดเหี้ยมดักรออยู่ รอยยิ้มที่เหมือนแสยะเขี้ยวมากกว่านั่นทำให้นางรู้ว่าความเมตตา ความโชคดีได้หมดสิ้นลงแล้ว...
“โปรดอย่าสังหารทารก”
สัญชาตญาณความเป็นแม่ทำให้นางอ้อนวอนโจรร้ายโดยไม่ห่วงชีวิตตนเอง ทว่าเจ้าโจรร้ายไม่ฟังคำวิงวอนแม้แต่น้อย
มันยิ้มเหี้ยมให้ก่อนลงมือปลิดชีพนายหญิงของตะกลูอัลนาจาห์ อิบราฮิมโดยไม่ฟังคำอ้อนวอนใด ๆ ทั้งสิ้น
หยดเลือดแดงฉานคละคลุ้งกลิ่นคาวที่กระเซ็นถูกผิวขาวใส ทำให้เด็กน้อยในอ้อมกอดมารดาร้องไห้เสียงดัง ดาเรียยังอ่อนเยาว์และไร้เดียงสากว่าที่จะรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้น
แล้วสายตาเหี้ยมโหดของเจ้าโจรทะเลทรายก็หันมาจ้องทารกน้อยที่อ้าปากร้องไห้ด้วยสายตาเฉกเช่นเดิม...
#####1
วณิพกกาเรม
เสียงหอบเหนื่อยดังขึ้นก่อนตามมาด้วยเสียงถอนหายใจโล่งเมื่อ ‘กาเรม’ รู้ว่าตนเองปลอดภัยจากการถูกไล่ล่าจากลูกสมุนพ่อค้าทาสนาม ‘ราเมซ’แล้ว ซอกกำแพงที่ก่อขึ้นจากดินเหนียวสีน้ำตาลแดงจึงเป็นที่อำพรางตัวได้เป็นอย่างดีสำหรับค่ำคืนที่มืดมิด
หญิงสาวบอกตัวเองว่า ให้ไปตายเอาดาบหน้ายังจะดีซะกว่าที่จะถูกขายให้กับซ่องนางระบำอะไรนั่น...
ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงเหมือนไม่เคยผ่านซี่หวี เสื้อผ้ามอมแมมสีขุ่นที่ครั้งหนึ่งเคยขาวสะอาดบอกสถานภาพรวมถึงฐานะของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งรอยแผลน้อยใหญ่บนร่างกาย สะท้อนชัดว่าในวัยเยาว์ที่ผ่านมา นางต้องเผชิญกับความโหดร้าย ความทรมานมามากมาย คิดแล้วยังเสียวสันหลังไม่หาย
กาเรม... ไร้นามตระกูล หญิงสาวเคยหัวเราะตัวเองที่มีชื่อเรียกสั้น ๆ แค่นั้น ก็ยังดีที่คนพวกนั้นยังตั้งชื่อให้นาง
หญิงสาวยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่เกาะอยู่บนหน้าผากและจมูกโด่งอย่างไม่สนใจอะไร นางรู้ว่าความปลอดภัยจะมีมากขึ้นหากนางเป็นชาย... เจ้าราเมซและลูกสมุนของมันต้องการขายนางให้กับซ่องโรงระบำแห่งหนึ่งซึ่งนางไม่เคยต้องการ
การอยู่อย่างอดมื้ออิ่มมื้อ ใช้ชีวิตใต้คำสั่งผู้เป็นนายไม่ใช่เรื่องสนุก เพราะนางเป็นเพียงทาสที่เร่ร่อนขอทาน หากวันไหนได้อัฐน้อยก็จะถูกเฆี่ยนตีและถูกทำโทษให้อดอาหาร แต่กาเรมก็ยังพอทนและยอมรับมันได้ เพราะตั้งแต่เกิดมาจนจำความได้ ไม่เคยมีสักวันที่นางได้สัมผัสกับอิสรภาพและความสุขสบาย
ทาสที่ถูกซื้อมาต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายเหนือหัวสถานเดียวเท่านั้น!
